แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประเด็นที่ว่าที่พิพาทเป็นที่วัดหรือไม่นั้น ไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องมีเอกสารมาแสดง.
ฉะนั้นแม้อีกฝ่าย 1 จะมีเอกสารแสดงว่าเป็นที่ป่า อีกฝ่าย 1 ก็นำพะยานบุคคลมาสืบได้ว่าเป็นที่วัด.
ย่อยาว
จำเลยทั้งสองเป็นศึกษาธิการอำเภอและกำนันได้คัดค้านโจทก์ที่นำเจ้าพนักงานมารังวัดที่ดินว่าเป็นที่วัด โจทก์จึงฟ้อห้ามมิให้คัดค้าน
ศาลล่างพิพากษาต้องกัน ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าดังต่อไปนี้
๑. โจทก์ฎีกาว่าศาลล่างฟังพะยานบุคคลของจำเลยว่าเป็นที่วัดต้องห้ามตาม ม.๙๔(ข) ป.ม.วิธีพิจารณาความแพ่ง เพราะมีแผนที่และสัญญาแสดงอยู่แล้วว่าเป็นป่า ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องนี้เถียงเพียงว่าที่พิพาทเป็นที่วัดหรือมิใช่เท่านั้น ซึ่งไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องมีเอกสารมาแสดง ที่ศาลล่างฟังพะยานบุคคลมานั้นชอบแล้ว
๒. โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นที่วัดโดยไม่มีพะยานหลักฐานโดยสำนวน ศาลฎีกาเห็นว่ามี
๓. โจทก์ฎีกาว่า ตามสัญญาเช่าว่าที่จำเลยอ้างมีข้อความว่า ทิศตะวันตกติดที่นางนุ่ม ศาลล่างว่าติดแม่น้ำเจ้าพระยา จึงขัดกับพยานหลักฐานในสำนวน ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ขัด เพราะที่วัดด้านหนึ่งติดที่หลายเจ้าของ สัญญาระบุเจ้าของเดียวกันเพื่อสะดวกแก่คนเขียนเท่านั้น จึงพร้อมกับพิพากษายืน