คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1575/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยออกบัตรสำหรับค่าแรงทำงานให้แก่โจทก์แทนการจ่ายเป็นธนบัตรรัฐบาลนั้นจะผิดกฎหมายหรือไม่ เป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยผู้ออกบัตร ไม่เกี่ยวกับโจทก์ แต่ธนบัตรนั้นย่อมเป็นหลักฐานแสดงว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ โจทก์อยู่ตามจำนวนเงินในบัตร เมื่อโจทก์นำบัตรมาขอขึ้นเงินกับจำเลย และจำเลยออกใบรับฝากให้ ใบรับฝากเงินนั้นย่อมเป็นหลักฐานแห่งหนี้ที่สมบูรณ์ ไม่เป็นโมฆะ และใบรับฝากเงินนี้ก็มิใช่ใบรับเงินซึ่งจะต้องเสียอากรตามประมวลรัษฎากรแต่อย่างไร
หนังสือแต่งตั้งอนุญาตโดยตุลาการที่มิได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์นั้น ผู้ทรงตราสารชอบที่จะยื่นตราสารต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อขอเสียอากรเมื่อใดก็ได้ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่อนุมัติให้เสียอากรและเรียกเงินเพิ่มอากรตามกฎหมายแล้ว ตราสารนั้นย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นช่างติดเครื่องยนต์ประจำเหมืองแร่ของจำเลย ให้ค่าจ้างเดือนละ ๑,๒๐๐ บาท ชำระในวันสิ้นเดือน โดยวิธีหักค่าซื้อเชื่อเครื่องอุปโภค บริโภคจากร้านค้าของจำเลยก่อน เหลือเท่าใดชำระให้โจทก์ตลอดมา แต่จำเลยค้างชำระต่อโจทก์นับแต่ พ.ศ.๒๕๐๐ ถึง ๒๕๐๓ รวมเป็นเงิน ๓๘,๐๔๒.๗๐ บาท โดยจำเลยทำใบรับฝากเงินให้โจทก์ยึดถือไว้บางส่วน และลงบัญชีของจำเลยไว้บางส่วน โจทก์ทวงถาม จำเลยผัดผ่อนไม่สิ้นสุด ครั้น ๑๗ สิงหาคม ๒๕๐๓ โจทก์จำเลยร้องขอให้นายอำเภอจอมบึงเปรียบเทียบ ในที่สุดจำเลยบันทึกรับรองเป็นการรับสภาพหนี้ไว้ต่อนายอำเภอว่า ยังเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่เป็นเงิน ๓๘,๐๔๒.๗๐ บาท ขอผ่อนชำระเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท โจทก์ไม่ยอมให้ผ่อนจึงนำคดีฟ้องขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า ทำใบรับฝากเงิน ให้โจทก์ไว้รวมทั้งสิ้น ๒๗,๘๒๗.๑๐ บาท นอกนั้นไม่ติดค้างกัน โจทก์จำเลยตกลงว่า โจทก์ขอรับเอาเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท บันทึกของอำเภอไม่ใช่สัญญาประนีประนอม จำเลยมีหนังสือบอกล้างแล้ว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๓๘,๐๔๒.๗๐ กับดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยจ้างโจทก์ทำหน้าที่ช่างฟิตเครื่องยนต์ประจำเหมืองแร่ของจำเลย เดิมให้เงินเดือน ๆ ละ ๑,๒๐๐ บาท ต่อมาปี พ.ศ.๒๕๐๐ คิดค่าจ้างเป็นรายวัน ๆ ละ ๔๐ บาท การจ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างจำเลยมิได้จ่ายเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นบัตรใบละ ๑ บาท ๑๐ บาท ๑๐๐ บาท ให้แทนเงิน บัตรนี้ใช้ซื้อเครื่องอุปโภค และบริโภคจากร้านค้าของจำเลยได้ หากมีบัตรเหลือใช้ก็นำมาขอขึ้นเงินจากจำเลยได้หรือจำเลยทำใบรับฝากเงินให้ไว้ จำเลยทำใบรับฝากเงินให้โจทก์ไว้ตามเอกสารหมาย จ.๓,๔,๕,๖ ต่อมา ๑๗ สิงหาคม ๒๕๐๓ จำเลยสาบานตัวให้ถ้อยคำต่อนายอำเภอจอมบึงว่า ยังเป็นหนี้เงินเดือนหรือค่าจ้างโจทก์อยู่เพียง ๒๘,๐๔๒.๗๐ บาท ขอผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ไม่ตกลงกัน โจทก์จึงมาฟ้องจำเลย ศาลฎีกาพิเคราะห์ฎีกาของจำเลยแล้ว เห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยค้างชำระค่าจ้างโจทก์อยู่ตามใบรับฝากเงิน ๔ ฉบับ และตามบัญชีของจำเลยรวม ๓๘,๐๔๒.๗๐ บาท จริงตามฟ้อง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า บัตรที่จำเลยออกใช้แทนธนบัตรรัฐบาลเป็นการผิดต่อกฎหมาย เมื่อโจทก์นำบัตรนั้นกลับคืนจำเลยให้จำเลยออกใบรับฝากให้ เท่ากั่บว่าการรับฝากมิได้มีมูลหนี้ต่อกัน ใบรับฝากเงิน ๔ ฉบับของโจทก์จึงเป็นโมฆะนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า บัตรที่จำเลยออกให้แก่โจทก์และคนงานในเหมืองของจำเลยนั้นจะผิดกฎหมายหรือไม่ เป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยผู้ออกบัตร ไม่เกี่ยวกับโจทก์ บัตรที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ย่อมเป็นหลักฐานแสดงว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ โจทก์อยู่ตามจำนวนเงินในบัตร เมื่อโจทก์นำบัตรมาขอขึ้นเงินกับจำเลย และจำเลยออกใบรับฝากให้ ใบรับฝากเงินนั้นย่อมเป็นหลักฐานแห่งหนี้ที่สมบูรณ์ไม่เป็นโมฆะ ที่จำเลยอ้างว่าใบรับฝากเงิน ๔ ฉบับมิได้ปิดอากรแสตมป์รับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้น เห็นว่า ใบรับฝากเงินมิใช่ใบรับเงินซึ่งจะต้องเสียอากรดังที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๐๕ จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
ที่จำเลยฎีกาว่า สารบบความแพ่งที่โจทก์อ้างมิได้ปิดอากรแสตมป์ และหนังสือแต่งตั้งอนุญา+ตุลาการซึ่งศาลชั้นต้นให้โจทก์รับไปปิดอากรแสตมป์เมื่อเสร็จการพิจารณาแล้วเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า สารบบความแพ่งของอำเภอเป็นเอกสารของทางราชการซึ่งมิได้อยู่ภายใต้บังคับของประมวลรัษฎากรว่าต้องเสียอากร ส่วนหนังสือแต่งตั้งอนุญาตโตตุลาการนั้น ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๓ ตราสารใดมิได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์ ผู้ทรงตราสารหรือผู้ถือเอาประโยชน์ ชอบที่จะยื่นตราสารต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อขอเสียอากรเมื่อใดก็ได้ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่อนุมัติให้เสียอากรและเรียกเงินเพิ่มอากรตามกฎหมายแล้ว อย่างเช่นในกรณีของโจทก์นี้ ตราสารนั้นย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๑๑๘
ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์จากอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างจากจำเลยตามหลักฐานใบรับฝากเงิน ๔ ฉบับ ซึ่งจำเลยทำให้โจทก์ยึดถือไว้ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒,๒๕๐๓ นี่เอง ค่าจ้างที่ต้องตามบัญชีจำเลยก็เป็นค่าจ้างที่ค้างในปี พ.ศ. ๒๕๐๒,๒๕๐๓ นอกจากนี้จำเลยยังได้ลงนามในบันทึกคำให้การในสารบบความแพ่งของอำเภอเมื่อ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๐๓ ว่า ยังเป็นลูกหนี้โจทก์ ๓๘,๐๔๒.๗๐ บาท ซึ่งถือว่าเป็นการรับสารภาพหนี้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

Share