คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1574/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บริษัทจำเลยที่ 3 ประกอบกิจการขนส่งคนโดยสารโดยใช้รถแท็กซี่ ต. เจ้าของรถแท็กซี่คันเกิดเหตุ ได้ทำสัญญานำรถเข้าร่วมกิจการของจำเลยที่ 3 โดยชำระเงินให้จำเลยที่ 3 จำนวน 150 บาท และโอนทะเบียนรถเป็นชื่อจำเลยที่ 3 ทั้งพ่นสีตรารถเป็นของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ยังได้รับประโยชน์ตอบแทนอีกเดือนละ 70 บาท ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 34 (พ.ศ.2513) ข้อ 5 และฉบับที่ 36 (พ.ศ.2519) ข้อ 2 ออกตามความในพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2473 ซึ่งใช้บังคับขณะเกิดเหตุกำหนดให้บริษัทจำเลยที่ 3 มีวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อประกอบการเดินรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) และต้องไม่ยอมให้ผู้ขับรถซึ่งเป็นลูกจ้างหรือบุคคลอื่นเช่ารถไปหารายได้ทั้งนี้เพื่อให้บริษัทจำเลยที่ 3 รับผิดในทางแพ่ง จำเลยที่ 3 ทราบข้อกำหนดของกฎกระทรวงนี้ดี ทั้งไม่ปรากฏหลักฐานเป็นหนังสือว่า ได้มีการถอนคืนการครอบครองรถไปจากจำเลยที่ 3 คนขับรถแท็กซี่คันเกิดเหตุ เป็นลูกจ้างของ ต.ถือได้ว่าเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ด้วย จำเลยที่ 3ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ วันเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ เกิดชนกันกับรถยนต์ที่นายคูณ บุญขันธ์ ลูกจ้างที่กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๓ โดยความประมาททั้งสองฝ่าย เป็นเหตุให้ตึกแถวของโจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหาย ๑๗๘,๐๙๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ต่างให้การว่า ไม่ได้ขับรถโดยประมาท และตึกแถวที่ถูกรถชนไม่ใช่ของโจทก์ จำเลยที่ ๒ รับว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ จริง ค่าเสียหายโจทก์ไม่เกิน ๒๓,๕๐๐ บาท จำเลยที่ ๓ ว่าโจทก์ไม่เสียหาย
ศาลชั้นต้น พิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๓๔,๙๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นเงิน ๑๐๗,๓๕๒.๓๖ บาท จำเลยที่ ๓ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๓๖,๘๓๘.๐๙ บาท และให้จำเลยทั้งสามชำระดอกเบี้ยด้วย
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย ข้อกฎหมายที่จำเลยที่ ๓ ฎีกาว่า คนขับรถแท็กซี่คันเกิดเหตุไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๓ ไม่ได้เป็นลูกจ้างหรือพนักงานของจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องร่วมรับผิด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบริษัทจำเลยที่ ๓ ประกอบกิจการขนส่งคนโดยสาร โดยใช้รถแท็กซี่รับจ้างบรรทุกคนโดยสาร นายเต็กเซียะ แซ่ลี้ เจ้าของรถแท็กซี่คันเกิดเหตุ ได้ทำสัญญานำรถเข้าร่วมกิจการของจำเลยที่ ๓ โดยชำระเงินให้จำเลยที่ ๓ จำนวน๑๕๐ บาท และโอนทะเบียนรถเป็นชื่อจำเลยที่ ๓ ตามเอกสารหมาย จ.๓, จ.๔ ทั้งพ่นสีตรารถเป็นของบริษัทจำเลยที่ ๓ ตามภาพถ่ายหมาย จ.๑๓ จำเลยที่ ๓ ยังได้รับประโยชน์ตอบแทนอีกเดือนละ ๗๐ บาท กรณีนี้ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓๔ (พ.ศ.๒๕๑๓) ข้อ ๕ และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓๖ (พ.ศ. ๒๕๑๙) ข้อ ๒ ออกตามความในพระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช ๒๔๗๓ ซึ่งใช้บังคับในขณะเกิดเหตุ กำหนดให้บริษัทจำเลยที่ ๓ มีวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อประกอบการเดินรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) บรรทุกคนโดยสารโดยใช้รถยนต์สี่ล้อรับจ้างบรรทุกคนโดยสารได้ไม่เกินเจ็ดคน และต้องไม่ยอมให้ผู้ขับรถซึ่งเป็นลูกจ้างหรือบุคคลอื่นเช่ารถไปหารายได้ ทั้งนี้เพื่อให้บริษัทจำเลยที่ ๓ รับผิดในทางแพ่ง จำเลยที่ ๓ ทราบข้อกำหนดของกฎกระทรวงนี้ดี ทั้งไม่ปรากฏหลักฐานเป็นหนังสือว่าได้มีการถอนคืนการครอบครองรถไปจากจำเลยที่ ๓ ตามหนังสือสัญญานำรถแท็กซี่เข้าร่วม ข้อ ๔ ขณะนายเต็กเซียะ นำรถมาเข้าร่วมกิจการกับจำเลยที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ ก็ไม่ปรากฏว่าได้เอาไปให้ผู้อื่นเช่า เพิ่งจะอ้างว่า โอนรถให้นางพรรณีและนางพรรณีเอาให้เช่าเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๒๒ พฤติการณ์เป็นการอ้างเพื่อเลี่ยงความรับผิด เชื่อได้ว่าคนขับรถแท็กซี่เป็นลูกจ้างของนายเต็กเซียะ กรณีถือได้ว่าคนขับรถแท็กซี่คันเกิดเหตุเป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๓ ด้วย จำเลยที่ ๓ ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๘๙,๔๖๐ บาท จำเลยที่ ๓ ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๔๔,๗๓๐ บาท แก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๑,๒๐๐ บาท และ ๖๐๐ บาทแทนโจทก์ตามลำดับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share