แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของรวมกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินร่วมกับเจ้าของร่วมอีกคนหนึ่ง โจทก์ได้ครอบครองที่ดินนั้นเป็นส่วนสัดอยู่ก่อนจำเลยรับซื้อฝากที่ดินจากเจ้าของรวมคนนั้น เมื่อโจทก์กับเจ้าของรวมได้รังวัดเพื่อแบ่งแยกโฉนดไปตามส่วนที่โจทก์ครอบครอง จำเลยก็รู้เห็นยินยอมด้วย ต่อมาจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่รับซื้อฝาก ขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกโฉนดตามที่เจ้าพนักงานรังวัดแบ่งแยกไว้ ดังนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยปฏิบัติตามข้อผูกพันที่จำเลยได้รู้และมีอยู่ก่อนจำเลยรับซื้อฝากที่ดิน หาใช่เรื่องฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาหรือตามเรื่องประนีประนอมยอมความไม่ กรณีเช่นนี้แม้มิได้มีหนังสือระหว่างโจทก์จำเลย โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องได้
การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย แล้วพิพากษาคดีไปโดยข้อกฎหมาย เป็นการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 227 แม้คู่ความจะมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยานไว้ ก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดที่ 90 เนื้อที่ 49 ไร่ 2 งาน 60 ตารางวา ตำบลคู้ฝั่งเหนือ อำเภอหนองจอก กรุงเทพฯ มีชื่อนายมะดีถือกรรมสิทธิ์ 39 ไร่ 2 งาน60 วา กับนางมูนะถือกรรมสิทธิ์ 10 ไร่ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2509 นายมะดีขายให้โจทก์ที่ 2 เนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2510 นางมูนะขายที่ดินทั้งหมด 10 ไร่ให้โจทก์ที่ 1 โจทก์ทั้งสองเข้าทำกินเป็นส่วนสัด เมื่อวันที่ 28กุมภาพันธ์ 2512 ได้มีการแบ่งแยกโฉนดตามแผนที่ท้ายฟ้อง ในระหว่างการรังวัดแบ่งแยก เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2513 นายมะดีขายส่วนของตนทั้งหมดให้แก่นายสนั่น และต่อมาวันที่ 27 พฤษภาคม 2514 นายสนั่นขายฝากที่ดินให้จำเลย ถึงกำหนดไม่ไถ่ถอน ที่ดินส่วนนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย จำเลยรู้แล้วว่าที่ดินแปลงนี้ โจทก์ทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ตามส่วนดังกล่าว เหลือนอกนั้นเป็นของนายสนั่น นายสนั่นและจำเลยรู้ว่ามีการรังวัดแบ่งแยกและครอบครองเป็นส่วนสัด จำเลยก็ร่วมมือในการแบ่งแยกด้วย แต่จำเลยผิดสัญญาไม่ยอมไปจัดการแบ่งแยกตามหน้าที่ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดเป็นส่วนของโจทก์ทั้งสองและจำเลยตามที่เจ้าพนักงานรังวัดแบ่งแยกไว้ หากจำเลยไม่ดำเนินการก็ขอถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาจดทะเบียนแบ่งแยก
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเห็นโจทก์ทั้งสองครอบครองที่พิพาทเป็นส่วนสัด จำเลยซื้อที่ดินจากนายสนั่น ระบุเนื้อที่ซื้อขายตามส่วนของนายสนั่นนายสนั่นไม่เคยตกลงแบ่งเนื้อที่ให้แตกต่างไปจากส่วนที่ระบุไว้ในโฉนด จำเลยไม่ทราบข้อตกลงในการแบ่งแยกที่ดินระหว่างโจทก์ทั้งสองและนายสนั่น หากมีข้อตกลงก็ไม่ผูกพันจำเลย
วันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การแล้ว เห็นว่า คดีวินิจฉัยได้แล้วจึงงดสืบพยานสองฝ่าย วินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้ตกลงในการรังวัดแบ่งแยกที่ดินด้วย และข้อตกลงเช่นนี้ต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่กรณีมิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีมิได้ ทั้งยังเป็นฟ้องที่ต้องห้ามเพราะจำเลยเป็นบุคคลภายนอก โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองได้รับโอนที่ตามที่บรรยายส่วนไว้ในโฉนด ร่วมกับเจ้าของที่ดินคนหนึ่งในโฉนด โดยโจทก์ต่างครอบครองเป็นส่วนสัดตามที่รับโอนระหว่างที่จำเลยรับซื้อฝากที่ดินส่วนของเจ้าของที่ดินนั้นไว้ โจทก์ทั้งสองร่วมกับเจ้าของที่ดินขอแบ่งแยกโฉนด เมื่อดำเนินการแบ่งแยกโฉนดอยู่ จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนนั้น โจทก์อ้างว่าจำเลยได้รู้และได้ร่วมมือในการแบ่งแยกโฉนด แต่ไม่ยอมไปจัดการแบ่งแยกโฉนด จึงขอให้บังคับจำเลย ฟ้องโจทก์จึงเป็นเรื่องอ้างว่า โจทก์ทั้งสองกับเจ้าของร่วมคนหนึ่งได้แบ่งแยกกันครอบครองที่ดินกรรมสิทธิ์รวมเป็นส่วนสัดอยู่ก่อน จำเลยได้รับซื้อฝากที่ดินสืบต่อมาจากเจ้าของรวมคนนั้น และจำเลยได้รู้เห็นยินยอมในการรังวัดแบ่งแยกโฉนดไปตามส่วนของที่ดินที่โจทก์ครอบครอง เห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยปฏิบัติตามข้อผูกพันที่จำเลยได้รู้และมีอยู่ก่อนจำเลยได้รับซื้อฝากที่ดิน หาใช่เรื่องฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาหรือตามเรื่องประนีประนอมยอมความดังข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้น กรณีเช่นนี้แม้มิได้มีหนังสือระหว่างโจทก์จำเลย โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องจำเลยได้
ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ว โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งไว้ ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้สืบพยานกันต่อไปนั้น เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งว่าตามคำฟ้อง คำให้การคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย แล้วพิพากษาคดีไปโดยข้อกฎหมาย เช่นนี้ ย่อมเป็นการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมาย ซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 ดังนั้น แม้โจทก์จะมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานไว้ โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวได้
พิพากษายืน