แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อ.และฉ.กับคนอื่นมีชื่อในโฉนดว่าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งยังมิได้แบ่งแยกกันเป็นส่วนสัด การที่ อ.ครอบครองที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงนั้นย่อมต้องถือว่าครอบครองที่ส่วนนั้นในฐานะเจ้าของร่วมคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะอ้างว่าตนครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเสียแต่คนเดียว ครั้นแบ่งแยกโฉนดเป็นที่ดิน 2 แปลงแล้วปรากฏว่าส่วนที่ อ.ครอบครองอยู่นั้นล้ำเข้าไปอยู่ในเขตโฉนดของฉ.8ตารางวา เมื่ออ.ยังคงครอบครองที่ส่วนนี้ต่อมา ก็อาจอ้างได้ว่าครอบครองในลักษณะปรปักษ์ตั้งแต่เวลาที่มีการแบ่งแยกโฉนดกันนั้น
อ.ครอบครองที่ดินพิพาทในลักษณะปรปักษ์อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วโอนให้ จ. ดังนี้ ย่อมนับเวลาซึ่ง อ.ครอบครองกับที่ จ.ครอบครอง รวมกันเป็นอายุความครอบครองโดยปรปักษ์ได้
จ.มีรั้วล้ำเข้าไปอยู่ในเขตที่ดินของ ฉ.เป็นเนื้อที่8 ตารางวา ฉ.ฟ้องจ.ขอบังคับให้รื้อรั้ว จ.ให้การว่าอ.สามีตนทำรั้วเข้าไปในเขตที่ดินของ ฉ.ฉ.ไม่ทักท้วงจนเกิน10ปีแล้ว ฉ.จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายในการที่ไม่ได้ใช้ที่ดิน ศาลพิพากษาให้จ.รื้อรั้ว ดังนี้ อายุความการครอบครองโดยปรปักษ์ในที่ดิน 8 ตารางวานั้น ย่อมสะดุดหยุดลงนับแต่วันที่ฉ.ยื่นฟ้อง (แม้ศาลจะมิได้วินิจฉัยไว้โดยตรงในปัญหาที่ว่าฝ่าย จ.ครอบครองที่ดิน 8 ตารางวานี้มาเกิน10 ปีหรือไม่ก็ตาม)
อ.เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 5449 ได้ทำรั้วเขตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของ ฉ.เป็นเนื้อที่8ตารางวา ต่อมาอ.โอนที่ดินโฉนดที่ 5449 นั้นให้แก่ จ.เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์คนเดียวและนับแต่นั้นเองก็ไม่ได้แสดงกิริยาอาการอย่างใดให้ถือว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดิน 8 ตารางวานั้นอยู่โดยเฉพาะเจาะจงอีก ดังนี้ เมื่อ ฉ.จะฟ้องคดีเพื่อให้อายุความครอบครองโดยปรปักษ์สะดุดหยุดลงก็ชอบที่จะฟ้องแต่ จ.คนเดียวได้
ย่อยาว
ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์เป็นสามีภริยากัน เดิมที่ดินโฉนดที่ 409 เป็นของนางเสงี่ยมซึ่งเป็นมารดาของนายอรุณโจทก์ที่ 1 และนายเฉลิมสามีจำเลยที่ 1 นายเฉลิมเป็นบิดาจำเลยที่ 2, 3, 4 นางเสงี่ยมเอาที่ดินดังกล่าวไปจำนองไว้กับบุคคลอื่น นายอรุณโจทก์ออกเงินไถ่จำนองนางเสงี่ยมจึงยกที่แปลงนี้ให้นายอรุณโจทก์ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2489 นายเฉลิมและพี่น้องอีก 4 คนได้ออกเงินค่าไถ่ถอนให้แก่นายอรุณโจทก์ โจทก์จึงจดทะเบียนใส่ชื่อนายเฉลิมกับพวกเหล่านั้นลงในโฉนดเป็นเจ้าของร่วม แต่มิได้ระบุว่าใครได้ที่ดินส่วนใดครั้นต่อมาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2490 จึงได้มีการแบ่งแยกโฉนดกันเป็นที่ดิน 2 แปลง นายอรุณโจทก์ได้ที่ดินตอนใต้ตามโฉนดใหม่เลขที่ 5449 นายเฉลิมได้ตอนเหนือตามโฉนดเลขเดิมคือ 409 ทั้งนี้ โดยพี่น้องอีก 4 คนได้ร่วมกันยกให้นายเฉลิมเป็นผู้มีชื่อในโฉนดที่ 409 แต่ผู้เดียว ที่ดิน 2 แปลงนี้เนื้อที่เท่า ๆ กัน คือแปลงละ 84.6 ตารางวา แต่อาณาเขตของโฉนดที่ 409 ของนายเฉลิมด้านที่ติดต่อกับที่ดินโจทก์ ถูกโจทก์ทำรั้วไม้ล้ำเข้าไปเป็นเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางวา ต่อมาเมื่อ 29 มิถุนายน 2497 นายอรุณโจทก์ได้จดทะเบียนยกที่ดินของตนให้แก่นางจันทราโจทก์ เมื่อ4 ธันวาคม 2499 นายเฉลิมได้ฟ้องนางจันทราตามคดีแดงของศาลแพ่งที่ 938/2502 โดยอ้างว่านางจันทราได้ทำรั้วเขตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายเฉลิมประมาณ 8 ตารางวา ขอให้บังคับให้รื้อรั้วไป นางจันทราให้การว่าสามีตนได้ทำรั้วเขตเข้าไปในที่ดินที่ยกให้นายเฉลิมประมาณ 6 ตารางวานายเฉลิมไม่ทักท้วงจนเกิน 10 ปีแล้ว จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายในการที่นายเฉลิมไม่ได้ใช้ที่ดินตามฟ้อง ต่อมา (เมื่อ 3 กรกฎาคม 2502 เมื่อนายอรุณกลับมีชื่อเป็นเจ้าของร่วมกับนางจันทราอีกแล้ว) นายอรุณและนางจันทรากลับเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นทายาทของนายเฉลิมเป็นคดีนี้ (นายเฉลิมตายเมื่อ พ.ศ. 2500) ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าที่พิพาทประมาณ 8 ตารางวา กับรั้วไม้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โดยอ้างว่าได้ครอบครองในลักษณะปรปักษ์มาเกิน 10 ปีแล้วจำเลยให้การปฏิเสธ ส่วนคดีที่นายเฉลิมฟ้องนางจันทรานั้นต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้นายเฉลิมชนะ ให้นางจันทรารื้อรั้วไป
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่ารั้วเป็นของโจทก์นอกนั้นพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำปฏิเสธที่จำเลยแสดงไว้ในคำให้การนั้นมีลักษณะชัดแจ้งแต่เพียงว่าที่โจทก์ว่าครอบครองมาเกิน 10 ปีนั้นไม่เป็นความจริง ความจริงยังไม่ถึง 10 ปี จึงสมควรจะพิเคราะห์เรื่องระยะเวลาตามข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นประเด็นสำคัญ และวินิจฉัยว่า รั้วรายพิพาทได้ทำขึ้นก่อนมีการแบ่งแยกโฉนด แต่ในระยะเวลาก่อนการแบ่งแยกโฉนดนั้น โจทก์ยังไม่อาจอ้างการครอบครองในลักษณะปรปักษ์ได้ เพราะแม้เมื่อใส่ชื่อนายเฉลิมกับพวกรวม 5 คน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์ในโฉนดเดิมแล้วแต่เมื่อยังไม่มีการแบ่งแยกที่ดินกันเป็นส่วนสัด การที่ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์คนหนึ่งคนใดเข้าครอบครองส่วนหนึ่งส่วนใดของที่ดินตามโฉนด ก็ต้องถือว่าครอบครองส่วนนั้น ๆ ในฐานะเจ้าของร่วมคนหนึ่งเท่านั้น หาก่อให้เกิดสิทธิที่จะอ้างว่าตนครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเสียแต่คนเดียวไม่ เพราะยังไม่อาจทราบได้ว่าที่ส่วนนั้นจะเป็นของเจ้าของร่วมคนใดแน่ดังนั้น ระยะเวลาที่โจทก์จะพึงอ้างว่าครอบครองที่ดินของนายเฉลิมในลักษณะปรปักษ์จึงเริ่มต้นเมื่อได้มีการแบ่งแยกโฉนดกันแล้ว คือเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2490 เพราะนับแต่นั้นมาเป็นอันทราบได้แล้วว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของนายเฉลิมกับพวกเมื่อการครอบครองในลักษณะปรปักษ์ได้เริ่มต้นแล้ว แม้ต่อมาปรากฏว่านายอรุณโจทก์ที่ 1 ได้จดทะเบียนยกที่ดินของตนให้แก่นางจันทราโจทก์ที่ 2ไปแล้ว แต่การครอบครองที่พิพาทในลักษณะที่เป็นปรปักษ์พ่ออนายเฉลิมนี้ย่อมสืบเนื่องกันมาโดยไม่ขาดตอนตามมาตรา 1385 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ครั้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2499 นางจันทราก็ถูกนายเฉลิมฟ้องให้รื้อรั้ว และในคดีนั้นก็เป็นการพิพาทกันเกี่ยวกับที่พิพาทในคดีนี้ด้วย และผลของคดีนั้นนายเฉลิมก็เป็นฝ่ายชนะ การฟ้องคดีนั้นจึงเป็นเหตุให้อายุความการครอบครองโดยปรปักษ์สะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172, 174 ประกอบด้วยมาตรา 1386 นับแต่ขณะที่นายอรุณโจทก์อาจอ้างการครอบครองในลักษณะปรปักษ์ได้จนกระทั่งวันที่อายุความสะดุดหยุดลงนั้นย่อมเป็นที่เห็นได้ว่ายังหาครบ 10 ปีไม่ เพราะเหตุนี้ หากจะฟังว่าโจทก์ทั้งสองครอบครองที่พิพาทในลักษณะที่เป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของตามโฉนด โจทก์ก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยอายุความ
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า นายเฉลิมฟ้องแต่นางจันทรา มิได้ฟ้องนายอรุณโจทก์ที่ 1 ด้วยจึงฟังไม่ได้ว่านายเฉลิมได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 1 นั้น เห็นว่าโจทก์เข้าครอบครองที่พิพาท 8 ตารางวานี้ โดยครอบครองล่วงล้ำออกไปจากที่ดินโฉนดที่ 5449 ขณะที่นายเฉลิมฟ้องนั้นโฉนดนี้ก็มีแต่ชื่อนางจันทราเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ทั้งไม่ปรากฏว่าขณะนั้นนายอรุณโจทก์ที่ 1 ยังแสดงกิริยาอาการอย่างใดให้ถือว่าเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทอยู่โดยเฉพาะเจาะจงด้วย จึงเป็นการชอบแล้วที่นายเฉลิมเลือกฟ้องแต่นางจันทราโจทก์ที่ 2 เพียงคนเดียวฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน