คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1572/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยโต้แย้งเรื่องที่โจทก์ผู้รับมอบอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาซักถามพยานโดยมิได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทนายนั้นเป็นกรณีโต้แย้งคัดค้านเรื่องผิดระเบียบที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งจะต้องบังคับตามมาตรา 27 ดังนั้นจำเลยจึงชอบที่จะยกขึ้นคัดค้านก่อนที่ศาลมีคำพิพากษา เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านประการใด ก็ต้องถือว่ากระบวนพิจารณาที่โจทก์ผู้รับมอบอำนาจได้กระทำไป ไม่มีเรื่องคัดค้าน.ในการปฏิบัติผิดระเบียบและการที่จำเลยเพิ่งจะหยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นมาโต้แย้งคัดค้านในชั้นอุทธรณ์นั้นจึงเป็นการขัดกับบทบัญญัติในมาตรา 27 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับมอบอำนาจจากหม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธร จุฑาธุช เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดหมายเลขที่ ๒๕๗๐ตำบลวังบูรพาภิรมย์ อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างคือห้องแถวเลขที่ ๘๖ ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินนี้ให้โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้เช่า
เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๐๖ จำเลยเช่าห้องแถวเลขที่ ๘๖นี้จากหม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธรตั้งร้านตัดผมมีกำหนด ๑ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๑๑๒ บาท ๕๐ สตางค์ บัดนี้ครบกำหนดอายุการเช่า และโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมออกไป ขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากห้องแถวดังกล่าว และใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ ๑๑๒ บาท ๕๐ สตางค์ นับแต่เดือนกันยายน ๒๕๐๗ จนกว่าจำเลยจะออกจากห้องเช่า
จำเลยให้การว่าได้เช่าห้องแถวหม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธร จุฑาธุชมา ๑๐ ปีแล้ว ใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน ก่อนสัญญาเช่าครั้งหลังสิ้นอายุ หม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธรได้ตกลงให้จำเลยเช่าห้องต่ออีก๓ ปี ได้เรียกเก็บเงินค่าเช่าล่วงหน้าเพิ่มจากที่ต้องชำระเป็นรายเดือนจากจำเลยอีกเดือนละ ๔๐๐ บาท โดยหม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธรให้จำเลยทำสัญญากู้เงินจากหม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธรไว้ ๓๖ ฉบับ ๆ ละ๔๐๐ บาท กำหนดชำระหนี้แต่ละฉบับของแต่ละเดือนเป็นเดือนไป จำเลยจึงถือว่าได้ชำระค่าเช่าล่วงหน้าให้หม่อมเจ้าหญิงบุญจิราธรไว้ส่วนหนึ่งแต่ละเดือน เป็นเงินเดือนละ ๔๐๐ บาท จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๐โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ผู้รับมอบอำนาจได้ดำเนินกระบวนพิจารณาเองโดยมิได้แต่งตั้งทนายเข้าว่าต่าง เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๖๐ วรรค ๒
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ผู้รับมอบอำนาจ ไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นทนายโจทก์ จึงดำเนินกระบวนพิจารณาซักถามพันตำรวจตรีประสิทธิพยานโจทก์มิได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๖๐ วรรค ๒ กระบวนพิจารณาเฉพาะในส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่กระบวนพิจารณาตอนอื่น ๆ เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอันเป็นการใช้สิทธิของตัวความ โจทก์ผู้รับมอบอำนาจย่อมกระทำได้และยังมีผลบังคับอยู่ อย่างไรก็ดีเฉพาะส่วนที่มีผลบังคับได้โดยไม่ต้องนำเอาคำเบิกความของพันตำรวจตรีประสิทธิที่เสียไปมาพิจารณาร่วมด้วย คดีก็ยังฟังได้ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แต่เดิมทุกประการ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นกรณีโต้แย้งคัดค้านการที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยตรง ฉะนั้นการคัดค้านเรื่องระเบียบเช่นว่านี้จะต้องบังคับตามมาตรา ๒๗แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ปรากฏว่าในวันนัดชี้สองสถานศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า “วันนี้ทนายความทั้งสองฝ่ายมาพร้อมกัน ศาลได้เปรียบเทียบแล้วยังไม่มีทางตกลงกันได้จึงกระทำการชี้สองสถานไป… ฯลฯ …ให้จำเลยเป็นฝ่ายนำสืบก่อนฯลฯ..” ซึ่งความจริงในท้องสำนวน ยังไม่มีการแต่งตั้งบุคคลใดเป็นทนายโจทก์ ที่ศาลชั้นต้นจดรายงานว่าทนายโจทก์ก็เพราะตัวโจทก์ผู้รับมอบอำนาจมีอาชีพเป็นทนายอยู่แล้ว จึงทำให้เข้าใจผิดหลงไปยอมรับเอาว่าโจทก์ผู้รับมอบอำนาจได้รับการแต่งตั้งเป็นทนายในคดีนี้แล้ว เช่นนี้จึงต้องถือว่าเป็นการที่มิได้ปฏิบัติตามบทกฎหมายตามมาตรา ๒๗ วรรคต้น ซึ่งชอบที่จำเลยผู้เสียหายจะได้ยกขึ้นคัดค้านเสียก่อนที่ศาลมีคำพิพากษา ตามความในมาตรา ๒๗ วรรค ๒ แต่จำเลยก็มิได้โต้แย้งคัดค้านประการใด กรณีเช่นนี้จึงต้องถือว่ากระบวนพิจารณาที่โจทก์ผู้รับมอบอำนาจกระทำมา ไม่มีเรื่องคัดค้านในการปฏิบัติผิดระเบียบ ฉะนั้น การที่จำเลยเพิ่งจะหยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นมาโต้แย้งคัดค้านในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นการขัดกับบทบัญญัติในมาตรา ๒๗ วรรค ๒
พิพากษายืน

Share