คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1569/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การแปลงหนี้โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 350 นั้น ลูกหนี้เดิมจะต้องมีตัวอยู่และจะต้องกระทำโดยไม่ขืนใจลูกหนี้เดิม ถ้าลูกหนี้เดิมตายไปเสียแล้ว กรณีก็ไม่ใช่การแปลงหนี้
เมื่อลูกหนี้เงินกู้ตายไปแล้ว จำเลยได้ทำสัญญาให้โจทก์ไว้ในแบบพิมพ์สัญญาค้ำประกันด้านหลังสัญญากู้รายนี้ ความว่า ขอทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้ต่อเจ้าหนี้ว่า ตามที่ลูกหนี้ได้กู้เงินไปนั้น ลูกหนี้ตายไปแล้ว จำเลยยอมใช้ต้นเงินดอกเบี้ยให้เจ้าหนี้ ดังนี้ เป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่จะค้ำประกันหนี้
การที่จำเลยได้กำหนดเวลาชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาซึ่งเกินกว่า 1 ปี นับแต่วันที่ลูกหนี้ตาย เป็นการสละข้อต่อสู้ในเรื่องอายุความมรดกซึ่งทายาทจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้ ฉะนั้น แม้เจ้าหนี้จะหมดสิทธิเรียกร้องจากทายาทเพราะคดีขาดอายุความแล้ว ก็หาทำให้จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้หรือหลุดพ้นความรับผิดไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา698 ด้วยไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางหมิ่งมารดาจำเลยที่ 1 และเป็นภริยาจำเลยที่ 2ได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป มอบที่นาให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย เดือนกันยายน 2501 นางหมิ่งตาย จำเลยทั้งสองเป็นผู้รับมรดก ครั้นวันที่ 1 ตุลาคม 2501 จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันรับรองใช้หนี้เงินกู้รายนี้ให้โจทก์ และจะชำระภายในวันที่ 1 เมษายน 2503 มาบัดนี้จำเลยที่ 1 ได้ฟ้องเรียกที่นาคืน ศาลพิพากษาห้ามโจทก์เกี่ยวข้องในที่นาดังกล่าว จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ไม่ได้ทำนาขอให้บังคับให้จำเลยใช้ต้นเงินกู้และค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า นางหมิ่งมิได้กู้เงินโจทก์ สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันปลอมนาที่โจทก์อ้างว่าทำต่างดอกเบี้ยนั้น ความจริงโจทก์ก็เช่าจากนางหมิ่ง นานี้ตกได้แก่จำเลยที่ 1 ผู้เดียว จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับมรดกรายนี้ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี เพราะมิได้ฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตาย และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหาย

ศาลชั้นต้นฟังว่านางหมิ่งทำสัญญากู้เงินโจทก์และมอบนาให้ทำกินต่างดอกเบี้ยจริง จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับมรดกนางหมิ่ง แต่ไม่เคยรับสภาพหนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องเกิน 1 ปี คดีจึงขาดอายุความ ส่วนจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 หลุดพ้นจากหนี้รายนี้ ก็ย่อมหลุดพ้นไปด้วย ค่าเสียหายโจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันเมื่อนางหมิ่งตายแล้วสัญญานี้หาใช่สัญญาค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 ไม่ แต่เป็นสัญญาแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามมาตรา 150 จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามสัญญานี้ และเมื่อเป็นการแปลงหนี้แล้วหนี้เดิมย่อมระงับไป โจทก์เรียกร้องจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทายาทหลีกไม่ได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยเรื่องอายุความต่อไป ส่วนเรื่องค่าเสียหายนั้นโจทก์ก็เรียกไม่ได้ พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินกู้ให้โจทก์

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นางหมิ่งได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไปเมื่อนางหมิ่งตายแล้ว จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาให้โจทก์ไว้ในแบบพิมพ์สัญญาค้ำประกันด้านหลังสัญญากู้รายนี้ มีความว่า ขอทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้ต่อโจทก์ว่า ตามที่นางหมิ่งได้กู้เงินโจทก์ไปนั้น นางหมิ่งตายไปแล้ว จำเลยที่ 2 ยอมใช้ต้นเงินดอกเบี้ยให้โจทก์ภายในวันที่ 1เมษายน 2503 ทั้งนี้ โดยจำเลยที่ 2 มิได้เป็นทายาทหรือผู้รับมรดกของนางหมิ่ง ดังนี้ เป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2 ที่จะค้ำประกันหนี้รายนี้ เท่ากับค้ำประกันว่าถ้าเจ้าหนี้มิได้รับใช้หนี้จากกองมรดกหรือจากทายาทของนางหมิ่งแล้ว จำเลยที่ 2 ยินยอมชำระให้ส่วนการแปลงหนี้โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 350 นั้น ลูกหนี้เดิมจะต้องมีตัวอยู่ และจะต้องกระทำโดยไม่ขืนใจลูกหนี้เดิมเมื่อลูกหนี้เดิมตายไปเสียแล้ว กรณีจึงไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้

การที่จำเลยที่ 2 กำหนดเวลาชำระหนี้ภายในวันที่ 1 เมษายน2503 ซึ่งเกินกว่า 1 ปี นับแต่วันที่นางหมิ่งตาย เป็นการสละข้อต่อสู้ในเรื่องอายุความมรดกซึ่งทายาทจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้ฉะนั้น แม้เจ้าหนี้จะหมดสิทธิเรียกร้องจากทายาทเพราะคดีขาดอายุความแล้ว ก็หาทำให้จำเลยที่ 2 ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้หรือหลุดพ้นจากความรับผิดไปตามมาตรา 698 ด้วยไม่

พิพากษายืนในผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share