คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1413/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยได้ และการที่ศาลชั้นต้นส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยไปยังศาลอุทธรณ์ทันทีโดยมิได้แจ้งให้จำเลยทราบถึงข้อบกพร่องดังกล่าวก็ไม่เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบเพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 มิได้บังคับให้ศาลชั้นต้นมีหน้าที่แจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบ แต่เป็นบทบัญญัติที่บังคับผู้อุทธรณ์เพียงฝ่ายเดียวให้ต้องปฏิบัติ

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกับอีกสำนวนหนึ่ง ซึ่งโจทก์คนเดียวกันนี้ฟ้องนายเปี๊ยย้ง แซ่ลิ้มเป็นจำเลย แต่คดีดังกล่าวไม่ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ฟ้องทั้งสามสำนวนใจความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1631 ตำบลสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี จำเลยทั้งสามสำนวนเช่าที่ดินโฉนดดังกล่าวของโจทก์เพียงบางส่วน เพื่อปลูกสร้างห้องแถวทำการค้าและอยู่อาศัย ค่าเช่าปีละ 900 บาท ครั้นครบกำหนดตามสัญญาเช่าที่ดิน โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทุกสำนวนรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกจากที่ดินโจทก์แต่จำเลยทุกสำนวนเพิกเฉย ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยทุกสำนวนรื้อถอนห้องแถวดังกล่าวและส่งมอบที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยหากไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยจำเลยออกค่าใช้จ่ายให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์สำนวนละ 1,000 บาท ต่อเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนห้องแถวออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสามสำนวนให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญาเช่าตามฟ้องเป็นนิติกรรมอำพรางโจทก์จำเลยร่วมทุนกันก่อสร้างห้องแถว โดยตกลงกันว่าโจทก์ให้จำเลยอยู่ในที่ดินได้ไม่น้อยกว่า 30 ปี เมื่อครบกำหนดห้องแถวตกเป็นสิทธิของโจทก์ ทำสัญญาเช่ากันคราวละ 3 ปี จนครบ 30 ปี จำเลยเช่าที่ดินและห้องแถวได้เพียง 23 ปี ยังเหลืออีก 7 ปี จึงจะครบกำหนดโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าที่ดินและห้องแถวตามฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสามสำนวนอีก 7 ปีนับแต่วันที่สัญญาเช่าตามฟ้องสิ้นสุดลง หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าสัญญาเช่าไม่ใช่นิติกรรมอำพราง โจทก์ให้จำเลยเช่าที่ดินเป็นเวลา3 ปี ขอให้ยกฟ้องแย้ง ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ในสำนวนที่ 3 ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยในสำนวนที่ 1 และสำนวนที่ 2รื้อถอนห้องแถวเลขที่ 1065, 1066 ตามลำดับ และจำเลยที่ 1 ในสำนวนที่ 3 รื้อถอนห้องแถวไม่มีเลขที่ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 1631 ปัจจุบันเลขที่ 11841 ตำบลสองพี่น้อง อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ออกไป และส่งมอบที่ดินแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากจำเลยไม่ปฏิบัติ ตามก็ให้โจทก์ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ ให้จำเลยในสำนวนที่ 1 ที่ 2 และจำเลยที่ 1 ในสำนวนที่ 3 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์คนละ 300 บาท ต่อเดือน นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนห้องแถวออกไปจากที่ดินของโจทก์ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามสำนวน จำเลยในสำนวนที่ 1 ที่ 2และจำเลยที่ 1 ในสำนวนที่ 3 อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์เพราะเห็นว่าแต่ละสำนวนเป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 2,000 บาทจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามสำนวนเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยในสำนวนที่ 1 ที่ 2และจำเลยที่ 1 ในสำนวนที่ 3 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสามสำนวนอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษามาวางหรือหาประกันมาให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นเป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ให้ยกคำร้อง จำเลยในสำนวนที่ 1 ที่ 2 และจำเลยที่ 1ในสำนวนที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยทั้งสามสำนวนอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2532 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ในวันเดียวกันนั้น จำเลยจะต้องร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ภายใน 10 วัน และนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด10 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง แต่จำเลยทั้งสามสำนวนยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน2532 โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลเป็นการฝ่าฝืน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสามสำนวนจึงชอบแล้ว ที่จำเลยทั้งสามสำนวนฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสมควรตรวจและพิจารณาว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ในเรื่องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดหรือยัง หากเห็นว่า จำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายก็ชอบที่จะแจ้งให้จำเลยทราบในเรื่องดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยไปยังศาลอุทธรณ์ทันทีโดยมิได้แจ้งให้จำเลยทราบถึงข้อบกพร่องดังกล่าวจึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคแรก นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 มิได้บังคับให้ศาลชั้นต้นต้องปฏิบัติดังที่จำเลยกล่าวอ้างแต่ประการใด แต่บทบัญญัติมาตรานี้บังคับผู้อุทธรณ์แต่เพียงผู้เดียวให้ต้องปฏิบัติ หาใช่เป็นหน้าที่ของศาลดังที่จำเลยกล่าวอ้างไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสามสำนวนฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share