คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1567/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยขอกู้ยืมเงินจากผู้คัดค้าน และผู้คัดค้านตกลงยินยอมให้กู้ เมื่อผู้คัดค้านมอบเงินที่กู้ให้จำเลยรับไป การกู้ยืมก็เกิดขึ้น ผู้คัดค้านจึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยในทันทีนั้นเอง หลังจากนั้นการที่จำเลยจำนองที่ดินพิพาทเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านจึงเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยอยู่ก่อนแล้วในขณะที่มีการทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 การจำนองที่ดินพิพาทไว้เป็นประกันเงินกู้แก่ผู้คัดค้านมีผลบังคับนับแต่วันที่มีการทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนกันคือวันที่ 31 มกราคม 2527 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย วันที่13 กุมภาพันธ์ 2527 จำเลยมอบอำนาจให้ ช. ไปทำการจำนองดังกล่าวจึงเป็นการที่จำเลยกระทำหรือยินยอมให้กระทำในระหว่างระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลาย และเมื่อจำเลยเป็นหนี้เจ้าหนี้ถึง 134 ราย รวมเป็นเงินประมาณ 99,000,000 บาท แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของจำเลยได้เพียง 711,227.45 บาทจำเลยมีหนี้สินรวมกันมากกว่าจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยมีอยู่หลายเท่าตัว จำเลยจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันเงินกู้แก่ผู้คัดค้านเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท ก่อนที่จำเลยจะถูกฟ้องขอให้ล้มละลายเพียง 13 วัน ทั้งผู้คัดค้านก็มิได้นำสืบว่ากิจการของจำเลยกำลังรุ่งเรืองแต่อย่างใด พฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวแสดงว่า จำเลยกระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นตามมาตรา 115

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่13 กุมภาพันธ์ 2527 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2527 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2527 จำเลยได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทรวม 15 โฉนดไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้แก่ผู้คัดค้านเป็นจำนวนเงิน500,000 บาท ในระหว่างระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ดินพิพาทดังกล่าวตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 115
ผู้คัดค้านค้านว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินและมอบโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านตั้งแต่เดือนตุลาคม 2526 แต่เพิ่งมาจดทะเบียนจำนองกันปลายเดือนมกราคม 2527 โดยจำเลยไม่ได้มุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินทั้ง 15 โฉนด ตามคำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ โดยให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2526 จำเลยขอกู้ยืมเงินจากผู้คัดค้าน 500,000 บาท และจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาท 15 โฉนด ให้แก่ผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2527เห็นว่า การจำนองนั้นเป็นสัญญาที่เอาทรัพย์สินตราไว้เป็นประกันการชำระหนี้ จึงมีหนี้ที่จะต้องชำระแก่กันอันเป็นหนี้ประธานส่วนหนึ่ง คือหนี้เงินกู้ยืมที่ผู้คัดค้านจ่ายให้จำเลยรับไปในวันที่1 พฤศจิกายน 2526 ก่อนทำสัญญาและจดทะเบียนจำนอง ส่วนการจำนองที่จำเลยได้มอบอำนาจให้นายชัยณรงค์ ไปทำสัญญาและจดทะเบียนให้แก่ผู้คัดค้านนั้นเป็นแต่เพียงอุปกรณ์แห่งหนี้เงินกู้ยืมอันเป็นหนี้ประธานซึ่งเป็นหนี้คนละส่วนที่แยกออกจากกันได้ ดังนั้น การที่จำเลยขอกู้ยืมเงินจากผู้คัดค้าน 500,000 บาท และผู้คัดค้านก็ตกลงยินยอมให้กู้ เมื่อผู้คัดค้านได้มอบเงินที่กู้ 500,000 บาทให้จำเลยรับไป การกู้ยืมก็ได้เกิดขึ้น ผู้คัดค้านจึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยในทันทีนั้นเอง หลังจากนั้นการที่จำเลยได้มอบอำนาจให้นายชัยณรงค์ไปทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านจึงเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยอยู่ก่อนแล้วในขณะที่มีการทำสัญญา และจดทะเบียนจำนองตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115
การที่จำเลยจำนองที่ดินพิพาทไว้เป็นประกันเงินกู้แก่ผู้คัดค้านนั้น จำเลยได้กระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ถึง 134 ราย รวมเป็นเงินประมาณ 99,000,000 บาท แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของจำเลยนับถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์2529 ได้เป็นเงินเพียง 711,227.45 บาท ไม่พอที่จะชำระหนี้ให้แก่บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายได้ครบถ้วน เมื่อจำเลยได้จำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันเงินกู้แก่ผู้คัดค้านเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาทเห็นได้โดยปราศจากสงสัยว่า มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ที่ผู้คัดค้านอ้างว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำหรือยินยอมให้กระทำก่อนระยะเวลาสามเดือนเมื่อนับถึงวันที่มีการขอให้ล้มละลายนั้น เห็นว่า การจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้เป็นประกันเงินกู้แก่ผู้คัดค้าน มีการทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองกันในวันที่ 31 มกราคม 2527 ตามหนังสือสัญญาจำนองและโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ร.20 ร.21 และ ร.5 ถึง ร.19 สัญญาจำนองนั้นต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 714 การจำนองที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงมีผลบังคับนับแต่วันที่มีการทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองกันคือวันที่ 31 มกราคม 2527 โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ล้มละลายในวันที่13 กุมภาพันธ์ 2527 การที่จำเลยมอบอำนาจให้นายชัยณรงค์จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้แก่ผู้คัดค้าน จึงเป็นการกระทำใด ๆ ที่จำเลยกระทำหรือยินยอมให้กระทำในระหว่างระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115ที่ผู้คัดค้านอ้างว่าในขณะที่กระทำหรือยินยอมให้กระทำ จำเลยไม่ได้มุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น เพราะจำเลยคงไม่อาจคาดหมายได้ว่าตนจะถูกขอให้ล้มละลาย และกิจการของจำเลยก็กำลังรุ่งเรืองนั้น เห็นว่า การที่จำเลยเป็นหนี้เจ้าหนี้ถึง 134 ราย รวมเป็นเงินประมาณ 99,000,000 บาท แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของจำเลยได้เพียง 711,227.45 บาทจำเลยมีหนี้สินรวมกันมากกว่าจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยมีอยู่หลายเท่าตัว จำเลยจำนองที่ดินพิพาทไว้เป็นประกันเงินกู้แก่ผู้คัดค้านเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท ก่อนที่จำเลยจะถูกโจทก์ฟ้องขอให้ล้มละลายเพียง 13 วัน ทั้งผู้คัดค้านก็มิได้นำสืบว่ากิจการของจำเลยกำลังรุ่งเรืองแต่อย่างใด พฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวมาแสดงว่า จำเลยกระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น เมื่อจำเลยจำนองที่ดินพิพาทไว้แก่ผู้คัดค้านในระหว่างระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจขอให้ศาลเพิกถอนการจำนองนั้นได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share