แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำว่า นายจ้าง ลูกจ้าง ตามความหมายของกฎหมายแรงงานหมายรวมถึงบุคคลผู้เข้าทำงานให้แก่บุคคลอื่นใน งานอุตสาหกรรมหรือพาณิชยกรรมโดยได้รับค่าจ้างเป็นผลประโยชน์ตอบแทนทั่วไป หากลูกจ้างประเภทใดที่ไม่ต้องการให้อยู่ในบังคับของกฎหมายแรงงานก็กำหนดเป็นข้อยกเว้นไว้ อันมีข้าราชการและข้าราชการส่วนท้องถิ่นรวมอยู่ด้วย แม้ฐานะของโจทก์จะเรียกว่า พนักงาน มิได้เรียกลูกจ้างโดยตรง ก็ต้องถือว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจได้รับความคุ้มครองของกฎหมายแรงงาน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ข้อ 3 แก้ไขฉบับที่ 3 ลงวันที่ 23 มีนาคม 2507 ข้อ 2 เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์มิได้กระทำการอันต้องด้วยข้อยกเว้นที่นายจ้างจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแล้วจำเลยก็ต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่โจทก์ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยข้างต้น ข้อ 12
เงินชดเชยเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะได้รับตามกฎหมาย มิใช่เป็นสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายฐานละเมิดและกฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องใช้อายุความตามหลักทั่วไปที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คือมีกำหนด 10 ปีนับแต่วันที่อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องขึ้นได้
เงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์ ตามข้อบังคับว่าด้วยการสงเคราะห์พนักงานและคนงานของจำเลย ที่พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 มาตรา 42 กำหนดให้จัดตั้งกองทุนขึ้น โดยนำเงินสะสมที่หักไว้จากเงินเดือนของโจทก์ทุกเดือน กับเงินของจำเลยอีกจำนวนหนึ่งเป็นเงินสมทบจ่าย มีหลักเกณฑ์และวิธีการแตกต่างกันไปจากเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน เงินสงเคราะห์นี้จึงเข้าลักษณะเป็นเงินประเภทอื่นต่างหากจากเงินชดเชย ดังกำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย ข้อ 2 ดังกล่าว เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นพนักงานประจำของจำเลย ได้รับอุบัติเหตุนอกเวลาและสถานที่ทำงานถึงทุพพลภาพแขนขวาถูกตัดถึงข้อศอก จำเลยได้มีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากการเป็นพนักงาน อ้างว่าโจทก์พการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ขอให้จ่ายค่าชดเชย
จำเลยให้การว่า ฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยได้จ่ายเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับในการถูกปลดออกตามระเบียบแล้วจำเลยไม่ต้องจ่ายเงินใด ๆ ให้โจทก์อีก ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
วันนัดพร้อม จำเลยแถลงว่าได้จ่ายเงินสะสม เงินกองทุน ดอกเบี้ยเงินกองทุนให้โจทก์รับไปแล้ว เป็นจำนวนมากกว่าเงินชดเชยซึ่งจะต้องจ่ายและต่อสู้ว่าโจทก์เป็นพนักงานของจำเลย ไม่อยู่ในบังคับประกาศของคณะปฏิวัติ เรื่องคุ้มครองแรงงาน
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม คดีไม่ขาดอายุความจำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย จึงอยู่ในบังคับประกาศของคณะปฏิวัติ เรื่องคุ้มครองแรงงาน และเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์รับไปแล้วตามที่คู่ความแถลงไม่ใช่เงินชดเชย พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินชดเชยให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมและวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์เข้าทำงานเป็นพนักงานประจำของจำเลยตั้งแต่ พ.ศ. 2508 ต่อมาโจทก์ประสบอุบัติเหตุนอกเวลาและสถานที่ทำงาน กลายเป็นคนพิการแขนขวาต้องถูกตัดออกถึงข้อศอก ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ จำเลยจึงปลดโจทก์ออกจากพนักงาน เมื่อเดือนกันยายน 2514 ดังนี้ การพิจารณาปัญหาดังกล่าวจึงต้องอาศัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 19 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2501 และประกาศกระทรวงมหาดไทยที่ออกมาโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับข้างต้น อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น คำว่านายจ้างลูกจ้างตามความหมายของกฎหมายแรงงานมีความหมายกว้างขวางไม่เฉพาะนายจ้าง ลูกจ้างที่เกิดจากสัญญาจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 3 ลักษณะ 6 บัญญัติไว้เท่านั้น หากหมายรวมถึงบุคคลผู้เข้าทำงานให้แก่บุคคลอื่นในงานอุตสาหกรรมหรือพาณิชยกรรมโดยได้รับค่าจ้างเป็นผลประโยชน์ตอบแทนทั่วไป หากลูกจ้างประเภทใดที่ไม่ต้องการให้อยู่ในบังคับของกฎหมายแรงงานก็จะกำหนดเป็นข้อยกเว้นไว้ ในข้อยกเว้นนี้ มีข้าราชการและข้าราชการส่วนท้องถิ่นรวมอยู่ด้วย ซึ่งข้าราชการทั้งสองประเภทนี้ต่างเข้าทำงานกับมีนิติสัมพันธ์กับกระทรวง ทบวง กรมเจ้าสังกัดโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยข้าราชการประเภทนั้น ๆ ทำนองเดียวกับพนักงานของจำเลยซึ่งมิได้เกิดจากสัญญาจ้างแรงงานทั้งสิ้นหากจะถือว่าสภาพการเป็นนายจ้างลูกจ้างมิได้แต่เฉพาะสัญญาจ้างแรงงานแล้ว ประกาศกระทรวงมหาดไทยก็หาจำเป็นต้องยกเว้นบุคคลผู้เป็นข้าราชการ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นไว้ไม่ จึงเห็นว่า แม้ฐานะของโจทก์จะเรียกว่า พนักงาน มิได้เรียกลูกจ้างโดยตรง ก็ต้องถือว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ได้รับความคุ้มครองของกฎหมายแรงงานตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ข้อ 3 แก้ไขฉบับที่ 3 ลงวันที่ 23มีนาคม 2507 ข้อ 2 เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้กระทำการอันต้องด้วยข้อยกเว้นที่นายจ้างจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแล้ว จำเลยก็ต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่โจทก์ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยข้างต้น ข้อ 27 ซึ่งแก้ไขตามฉบับที่ 3 ลงวันที่ 23 มีนาคม 2507 ข้อ 12
เงินชดเชยเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะได้รับตามกฎหมาย มิใช่เป็นสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายฐานละเมิด และกฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องใช้อายุความตามหลักทั่วไปที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คือมีกำหนด10 ปี นับแต่วันที่อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องขึ้นได้ ข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อเดือนกันยายน 2514 คิดนับมาถึงวันที่ 28เมษายน 2523 อันเป็นวันที่โจทก์ฟ้องยังไม่ถึง 10 ปี คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
การที่จำเลยได้จ่ายเงินให้โจทก์รับไปแล้ว เป็นเงินสะสมจำนวน 3,230.90บาท เงินกองทุน 1 จำนวน 6,461.80 บาท ดอกเบี้ยเงินกองทุน 1 จำนวน 397.70บาท รวมเป็นเงิน 10,090.40 บาท ตามข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์พนักงานและคนงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ 2497 และที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้น เงินจำนวนดังกล่าวที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เป็นการจ่ายตามข้อบังคับว่าด้วยการสงเคราะห์พนักงานและคนงานของจำเลยที่พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 มาตรา 42 กำหนดให้จัดตั้งกองทุนขึ้น โดยนำเงินสะสมที่หักไว้จากเงินเดือนของโจทก์ทุกเดือนกับเงินของจำเลยอีกจำนวนหนึ่งเป็นเงินสมทบจ่าย ซึ่งมีหลักเกณฑ์และวิธีการแตกต่างกันไปจากเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ฉะนั้นเงินสงเคราะห์จึงเข้าลักษณะเป็นเงินประเภทอื่นต่างหากจากเงินชดเชยดังกำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย ข้อ 3 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 3ลงวันที่ 23 มีนาคม 2507 ข้อ 2 เมื่อไม่เป็นเงินชดเชยแล้วจึงไม่ต้องพิจารณาว่า เงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์นั้นมากกว่าจำนวนเงินชดเชยที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับตามที่ยกเว้นไว้ในข้อ 27 แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยข้างต้นหรือไม่ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างประจำของจำเลยมาเกินกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวัน เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยจึงต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่โจทก์ตามฟ้อง
ส่วนค่าเบี้ยเลี้ยงวันมาทำงาน ตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวว่านอกเหนือจากเงินเดือนแล้วโจทก์ยังได้รับเบี้ยเลี้ยงในวันมาทำงานอีกวันละ 15 บาท จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างอื่น แม้ในวันนัดพร้อมก็มิได้กล่าวถึงเงินประเภทนี้ กรณีจึงต้องฟังตามคำฟ้องของโจทก์ว่าเงินเบี้ยเลี้ยงดังกล่าว เป็นเงินที่นายจ้างให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานของลูกจ้าง ไม่ว่าสินจ้างนั้นจะเรียกชื่อ กำหนดคำนวณ หรือจ่ายอย่างไร ก็ให้ถือเป็นค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2507) ที่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นเงินชดเชยด้วย
พิพากษายืน