คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4961/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาคดีว่า ทนายคู่ความได้แถลงร่วมกันว่ามีความประสงค์จะประนีประนอมข้อพิพาท โดยทนายโจทก์และทนายจำเลยทั้งสี่จะได้แจ้งตัวความให้กำหนดผู้มีอำนาจตัดสินใจเป็นผู้ร่วมเจรจากันเพื่อหาข้อยุติให้ทันก่อนวันนัดหน้า หากยังไม่ได้ข้อยุติทนายโจทก์ก็จะติดต่อนัดหมายผู้มีอำนาจตัดสินใจซึ่งเป็นผู้เจรจาฝ่ายโจทก์มาศาลด้วยตนเองเพื่อแถลงรายละเอียดให้ศาลทราบ มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องนั้น เมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลยแม้ผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์ไม่มาศาลก็ตาม แต่ทนายโจทก์ก็ได้แถลงให้ศาลทราบแล้วถึงเหตุที่ผู้ถึงอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์ไม่มาศาลก็เพราะผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์ได้พิจารณาข้อเสนอของฝ่ายจำเลยที่ขอชำระหนี้แล้ว ไม่อาจตกลงกันได้จึงขอไม่มาศาล เมื่อคดีไม่สามารถตกลงกันได้ การที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์ไม่มาศาลเพื่อแถลงรายละเอียดให้ศาลทราบด้วยตนเองตามที่ทนายโจทก์แถลงไว้ ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดอันจะถือได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,203,055.11 บาท พร้อมดอกเบี้ย และเบี้ยปรับแก่โจทก์ จำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้คดีต่อมาหลังศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์เสร็จ ในวันนัดสืบพยานจำเลยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2543 ทนายคู่ความแถลงร่วมกันว่ามีความประสงค์จะประนีประนอมข้อพิพาท โดยทนายโจทก์และทนายจำเลยทั้งสี่จะติดต่อแจ้งตัวความให้กำหนดบุคคลผู้มีอำนาจตัดสิ้นใจเป็นผู้ร่วมเจรจากันเพื่อหาข้อยุติให้ทันก่อนวันนัดหน้า หากยังไม่ได้ข้อยุติทนายโจทก์แถลงจะติดต่อนัดหมายผู้มีอำนาจตัดสินใจซึ่งเป็นผู้เจรจาฝ่ายโจทก์มาศาลด้วยตนเองเพื่อแถลงรายละเอียดให้ศาลทราบ มิฉะนั้นให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปนัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 6 มีนาคม 2544 ครั้นถึงวันนัดสืบพยานจำเลยที่เลื่อนมา ทนายโจทก์แถลงว่าได้รับแจ้งจากผู้มีอำนาจตัดสินใจซึ่งเป็นผู้ดำเนินการเจรจาว่า ฝ่ายจำเลยเสนอขอชำระหนี้ 600,000 บาท ผ่อนชำระเป็นรายเดือนให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 48 เดือน ซึ่งเห็นว่าไม่อาจตกลงกันได้ จึงไม่ขอมาศาล และคู่ความแถลงร่วมกันว่าคดียังไม่สามารถตกลงกันได้ โดยผู้มีอำนาจตัดสินใจของโจทก์ไม่เห็นชอบด้วยกับข้อเสนอของจำเลยทั้งสี่ และไม่ว่ากรณีจะเป็นเช่นไรยังต้องเสนอกรรมการผู้จัดการใหญ่ของโจทก์พิจารณาอีกครั้ง จึงขอให้ศาลมีคำสั่งเกี่ยวกับกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนดเพื่อการดังกล่าวโดยทราบคำสั่งโดยชอบแล้ว จึงต้อถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามคำแถลงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ให้จำหน่ายคดีโจทก์เสียจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีโจทก์เสียจากสารบบความ โดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่ชั้นสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาคดีต่อไป
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า การที่ทนายโจทก์แถลงว่าหากการเจรจาประนีประนอมยอมความกันไม่ได้ ทนายโจทก์ก็จะติดต่อนัดหมายให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์มาศาลด้วยตนเองเพื่อแถลงรายละเอียดให้ศาลทราบ มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง เมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลยแม้ผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์ไม่มาศาลก็ตาม แต่ทนายโจทก์ก็ได้แถลงให้ศาลทราบแล้วถึงเหตุที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์ไม่มาศาลก็เพราะผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์ได้พิจารณาข้อเสนอของฝ่ายจำเลยที่ขอชำระหนี้เพียง 600,000 บาท โดยขอผ่อนชำระเป็นรายเดือนให้เสร็จสิ้นภายใน 48 เดือน แล้วไม่อาจตกลงกันได้ จึงไม่ขอมาศาล เมื่อคดีไม่สามารถตกลงกันได้ การที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์ไม่มาศาลเพื่อแถลงรายละเอียดให้ศาลทราบด้วยตนเองตามที่ทนายโจทก์แถลงไว้ในนัดที่แล้วก็ตาม แต่ทนายโจทก์แถลงรายละเอียดการเจรจาที่ไม่สามารถตกลงกันได้ให้ศาลทราบแล้ว ซึ่งหากผู้มีอำนาจตัดสินใจฝ่ายโจทก์มาศาลก็คงแถลงดังที่ทนายโจทก์แถลง เมื่อตกลงกันไม่ได้ก็คงต้องสืบพยานจำเลยต่อไป ซึ่งทนายโจทก์มาศาลแล้ว ศาลสามารถสืบพยานจำเลยต่อไปได้ ดังนั้น จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนด อันจะถือได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง”
พิพากษายืน

Share