คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1562/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พระราชกำหนดการกู้ยือมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2517บัญญัติขึ้นเพื่อปราบปรามการกระทำที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนกับวางมาตรการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวมรัฐเท่านั้น เป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีในความผิดตามพระราชกำหนดดังกล่าว เอกชนไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 343, 83,91 พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527มาตรา 4, 5, 12, 15
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยที่ 4 ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 5 หลบหนีจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลโดยจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนได้หลบหนีไม่มีผู้กระทำแทนศาลชั้นต้นได้สั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 3 และที่ 5
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 นั้น ราษฎรไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและพิพากษาว่าจำเลยที่ 8 มีความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343,83 วางโทษจำคุก 5 ปี ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 7
โจทก์และจำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 8 ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 8 ร่วมกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ‘…..มีปัญหาต่อไปว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 หรือไม่ เห็นว่าพระราชกำหนดดังกล่าวได้บัญญัติขึ้นเพื่อปราบปรามการกระทำที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนกับวางมาตรการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวม ดังนั้นความผิดตามพระราชกำหนดนี้ รัฐเท่านั้นเป็นผู้มีอำนาจฟ้องคดีได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 8 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา343 วรรคแรก, 83 ให้วางโทษจำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์’.

Share