คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4867/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การเป็นนิติบุคคลประเภทหุ้นส่วนบริษัทและอำนาจผู้แทนนิติบุคคลนั้นนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจะต้องแต่งย่อรายการซึ่งได้ลงทะเบียนส่งไปพิมพ์โฆษณาในราชกิจจานุเบกษาและถือว่าเป็นอันรู้แก่บุคคลทั้งปวงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1021และ 1022 แม้หนังสือรับรองของสำนักทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องโจทก์ ไม่มีข้อความอ้างอิงระบุว่าบริษัทโจทก์มีกรรมการจำนวนเท่าใด มีใครเป็นกรรมการ และใครเป็นผู้มีอำนาจดำเนินการแทนโจทก์ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์และไม่แจ้งชัดแต่อย่างใดไม่
อ.ฟ้องคดีอ้างว่าได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ฟ้องจำเลยโดยส่งสำเนาใบมอบอำนาจพร้อมกับฟ้อง จำเลยมิได้โต้แย้งในความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจกรณีถือได้ว่าไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจ โจทก์จึงไม่ต้องส่งต้นฉบับใบมอบอำนาจต่อศาล แม้โจทก์จะส่งต้นฉบับใบมอบอำนาจซึ่งเป็นใบมอบอำนาจฉบับอื่น มิใช่ต้นฉบับของใบมอบอำนาจตามเอกสารท้ายฟ้อง และทำขึ้นในภายหลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยแล้วก็ไม่มีผลแต่อย่างใด
ตามสำเนาใบมอบอำนาจท้ายฟ้องมิได้ระบุโดยเฉพาะเจาะจงว่าให้ฟ้องจำเลย แต่ก็ปรากฏตามข้อความใบมอบอำนาจว่าเป็นใบมอบอำนาจทั่วไปให้อ.มีอำนาจฟ้องร้องคดีแพ่งและคดีอาญาและมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาต่างๆแทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 ได้ทุกประการดังนั้น อ. ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยแทนโจทก์ โจทก์หาจำต้องระบุชื่อจำเลยในหนังสือมอบอำนาจด้วยไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการธนาคารโจทก์มีสาขาดำเนินการอยู่ที่จังหวัดลำปาง มีนายอุดร ศิริภากรกาญจน์ เป็นผู้จัดการและเป็นผู้รับมอบอำนาจทั่วไปให้ดำเนินคดีฟ้องร้องแทนโจทก์ จำเลยเป็นลูกค้าโจทก์โดยขอเปิดบัญชีประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี โดยใช้บัญชีกระแสรายวัน เลขที่ 746จำเลยได้เบิกเงินและเดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์เรื่อยมา ต่อมาจำเลยผิดสัญญาไม่ส่งต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์คิดถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2523 จำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งสิ้น 142,986 บาท 64 สตางค์ โจทก์มอบให้ทนายทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี

จำเลยให้การว่า บัญชีกระแสรายวันเลขที่ 746 ธนาคารได้สั่งปิดมานานแล้วเอกสารท้ายฟ้องหมาย 1 ไม่ปรากฏชัดเจนถูกต้องและเคลือบคลุม มีข้อความไม่ปรากฏไว้ตามคำฟ้องในข้อ 1 เลย เอกสารท้ายฟ้องหมาย 2 เป็นสำเนาหนังสือเอกสารโดยทั่วไปหาใช่หนังสือมอบอำนาจเฉพาะที่นายตามใจ ขำภโต กรรมการผู้จัดการใหญ่มอบอำนาจให้ฟ้องจำเลย นายอุดร ศิริภากรกาญจน์ ผู้จัดการ สาขาลำปาง ของโจทก์ดำเนินการเองทั้งสิ้นโดยที่โจทก์ไม่ทราบ เอกสารท้ายฟ้องหมาย 4 สาขาของโจทก์ทำขึ้นเองหลังจากธนาคารได้ปิดบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 746 แล้ว เอกสารท้ายฟ้องหมาย 5และ 6 ไม่ใช่ของโจทก์โดยตรงและจำเลยไม่เคยได้รับทราบ ขอให้ยกฟ้องโจทก์

ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานและกำหนดประเด็น 3 ข้อ คือ 1. เรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ 2. จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริงหรือไม่ 3. โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้แล้วหรือไม่ แล้วมีคำสั่งให้โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบฝ่ายเดียว ส่วนจำเลยศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยให้การปฏิเสธลอย ๆ โดยไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ จำเลยคงมีสิทธิซักค้านแต่ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ

ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียวแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยมีสิทธินำสืบพยานหักล้างพยานโจทก์ได้พิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่ให้จำเลยนำพยานเข้าสืบให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาใหม่

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยให้การปฏิเสธ ฟ้องโจทก์ลอย ๆ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 จำเลยไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ แต่เนื่องจากศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่น ๆ ของจำเลยพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่

ศาลอุทธรณ์พิจารณาใหม่แล้วเห็นว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามบัญชีเดินสะพัดของจำเลยที่มีอยู่ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2517 จำนวน 51,260 บาท 66 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี คิดตามประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์ในยอดเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2517 จนถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2523 อันเป็นวันที่บัญชีเดินสะพัดสิ้นสุด เมื่อคิดได้ยอดเงินเท่าใดแล้วให้ถือเป็นต้นเงินต้นไป สำหรับคิดดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี โดยไม่ทบต้นตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2523 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าในปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์โดยนายอุดร ศิริภากรกาญจน์ ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะตามหนังสือรับรองของสำนักทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท เอกสารหมาย 1 ท้ายฟ้องโจทก์ไม่มีขอ้ความอ้างอิงระบุว่ามีกรรมการจำนวนเท่าใด มีใครเป็นกรรมการ และใครเป็นผู้มีอำนาจดำเนินการแทนโจทก์พอที่จะสนับสนุนประกอบถ้อยคำในคำฟ้องโจทก์ ไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรค 3 ดังนั้น สำเนาหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องหมาย 2 ของโจทก์ใช้อ้างไม่ได้เพราะความไม่สมบูรณ์และแจ้งชัด ทั้งโจทก์มิได้ส่งต้นฉบับใบมอบอำนาจดังกล่าวต่อศาล เห็นว่าตามข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวจำเลยเพียงแต่ประสงค์จะโต้แย้งสำเนาหนังสือรับรองของนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทตามเอกสารท้ายฟ้องหมาย 1 ว่ามีข้อความระบุไว้ไม่ครบถ้วน ตามข้อโต้แย้งของจำเลยก็ปรากฏว่าเป็นการปฏิเสธข้อสันนิษฐานเด็ดขาดตามกฎหมายเพราะการเป็นนิติบุคคลประเภทหุ้นส่วนบริษัทและอำนาจผู้แทนนิติบุคคลนั้น นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจะต้องแต่งย่อรายการซึ่งได้ลงทะเบียนส่งไปพิมพ์โฆษณาในราชกิจจานุเบกษา และถือว่าเป็นอันรู้แก่บุคคลทั้งปวงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1021 และ 1022 ดังนั้นแม้ในเอกสารท้ายฟ้องหมาย 1 จะมิได้ระบุว่าโจทก์มีกรรมการจำนวนเท่าใด มีใครเป็นกรรมการและใครเป็นผู้มีอำนาจดำเนินการแทนโจทก์ก็ไม่ทำให้โจทก์ไม่สมบูรณ์และไม่แจ้งชัดแต่อย่างใด สำหรับหนังสือมอบอำนาจตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมาย 2 จำเลยก็มิได้โต้แย้งในความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจ กรณีถือได้ว่าไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความแท้จริงแห่งใบมอบอำนาจ โจทก์จึงไม่ต้องส่งต้นฉบับใบมอบอำนาจตามเอกสารหมาย 2ท้ายฟ้องต่อศาล ดังนั้นแม้โจทก์จะส่งต้นฉบับใบมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.2ซึ่งเป็นใบมอบอำนาจฉบับอื่นซึ่งมิใช่ต้นฉบับของใบมอบอำนาจตามเอกสารท้ายฟ้องและทำขึ้นในภายหลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยแล้วก็ไม่มีผลแต่อย่างใด และแม้ตามสำเนาใบมอบอำนาจท้ายฟ้องเอกสารหมายเลข 2 จะมิได้ระบุโดยเฉพาะเจาะจงว่าให้ฟ้องจำเลย แต่ก็ปรากฏตามข้อความในใบมอบอำนาจว่าเป็นใบมอบอำนาจทั่วไปให้นายอุดร ศิริภากรกาญจน์ มีอำนาจฟ้องร้องคดีแพ่งและคดีอาญาและดำเนินกระบวนพิจารณาต่าง ๆ แทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 ได้ทุกประการ ดังนั้นนายอุดรศิริภากรกาญจน์ ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยแทนโจทก์ โจทก์หาจำต้องระบุชื่อจำเลยในหนังสือมอบอำนาจด้วยไม่

ในปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่นั้น เชื่อได้ว่าจำเลยได้กู้เบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์แล้วหักทอนทางบัญชีเดินสะพัดกันตลอดมาจริง สำหรับอัตราดอกเบี้ย ตามฟ้องของโจทก์ระบุว่าจำเลยให้โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดอกเบี้ยจากจำเลยเกินกว่าร้อยละ 14 ต่อปีตามที่ตกลงกัน ดังนั้นยอดหนี้ตามบัญชีเดินสะพัดเอกสารหมาย จ.3ถึง จ.17 จึงถูกต้องเพียงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2517 ซึ่งมีจำนวน 51,260 บาท 66 สตางค์ และหลังจากนั้นจำเลยไม่ได้นำเงินเข้าและถอนเงินจากบัญชีเดินสะพัดอีก จำเลยจึงคงต้องรับผิดชำระเงิน 51,260 บาท 66 สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี คิดตามประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์ใมนยอดเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2517 จนถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2523อันเป็นวันที่บัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์จำเลยสิ้นสุดลง เมื่อคิดได้เป็นยอดเงินเท่าใดแล้วให้ถือเป็นต้นเงินต่อไปสำหรับคิดดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี โดยไม่ทบต้นตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2523 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

ในปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้หรือไม่นั้นเชื่อได้ว่า จำเลยได้เลือกเอาร้านสนธยาที่ถนนเจริญเมืองนี้เป็นภูมิลำเนาในการติดต่อกับธนาคารเมื่อโจทก์ได้ส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปถึงจำเลยที่ร้านสนธยาถนนเจริญเมือง แม้จะมีเลขที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ตาม ก็ถือได้ว่าได้มีการส่งโดยชอบ

สำหรับฎีกาข้ออื่น ๆ ของจำเลยนอกจากนี้ เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้

พิพากษายืน

Share