แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 3 ในฐานความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ ก่อนยื่นอุทธรณ์จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอถอน ร. ออกจากการเป็นทนายความของตนและขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ร. จึงไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยที่ 3 อีกต่อไป การที่ต่อมา ร. ยื่นอุทธรณ์ในฐานะทนายความของจำเลยที่ 3 โดยลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์ ผู้เรียงและผู้พิมพ์ ซึ่งเป็นการเรียงและยื่นอุทธรณ์โดยไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยที่ 3 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ยื่นอุทธรณ์ เมื่อจำเลยที่ 3 และทนายความคนใหม่มิได้ยื่นอุทธรณ์ภายในเวลาที่ศาลขยายให้ ส่วนโจทก์ยื่นอุทธรณ์แต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ การที่ศาลชั้นต้นให้ส่งสำนวนส่วนของจำเลยที่ 3 ไปยังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง จึงชอบแล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมถึงที่สุด จำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิยื่นฎีกา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91 และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพข้อหามีอาวุธปืนอัดลมไม่มีเครื่องหมายทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แต่ให้การปฏิเสธข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง, 102 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต วางโทษประหารชีวิต ทางนำสืบของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ เห็นสมควรลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(1) คงจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง, 102 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต วางโทษประหารชีวิต ส่วนความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต วางโทษจำคุก 1 ปี จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพในความผิดฐานนี้ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 6 เดือนเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงให้ประหารชีวิต ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ริบของกลาง
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์โจทก์ แต่รับอุทธรณ์จำเลยที่ 2
จำเลยที่ 3 โดยนายเริ่ม ชาวอ่างทอง ทนายความยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ ต่อมาศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2543 จำเลยที่ 3 แต่งให้นายเริ่ม ชาวอ่างทอง เป็นทนายความในคดีเรื่องนี้ โดยให้มีอำนาจสละสิทธิหรือใช้สิทธิในการอุทธรณ์และฎีกา ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2543 ต่อมาวันที่ 6 พฤศจิกายน 2543 จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องว่ามีความประสงค์จะเรียงอุทธรณ์ยื่นต่อศาลด้วยตนเอง ขอคัดสำเนาคำพยานโจทก์ จำเลยและคำพิพากษาและขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ 30 วัน ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต วันที่ 20 พฤศจิกายน 2543 นายเริ่มในฐานะทนายความของจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ 1 เดือน ศาลชั้นต้นสั่งว่าศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ถึงวันที่ 26 ธันวาคม 2543 จึงไม่มีเหตุที่จะสั่งตามคำร้องอีก ให้ยกคำร้อง ครั้นวันที่ 21 พฤศจิกายน 2543 จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 3 ประสงค์ที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น แต่จำเลยที่ 3 ไม่ประสงค์ที่จะให้ทนายความคนเดิมเรียงอุทธรณ์ให้ จึงขอถอนทนายความคนเดิมทุกคน จำเลยที่ 3 จะจัดหาทนายความใหม่มาแก้ต่างในชั้นอุทธรณ์และเรียงคำอุทธรณ์ให้ แต่เนื่องจากระยะเวลายื่นอุทธรณ์เหลือเพียง 5 วัน จำเลยที่ 3 จึงขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ถึงวันที่ 26 ธันวาคม 2543 ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต วันที่ 22 ธันวาคม 2543 จำเลยที่ 3 ยื่นใบแต่งทนายความ แต่งให้นายอมรฤทธิ์ ภยาภิวัฒน์ เป็นทนายความโดยให้มีอำนาจสละสิทธิหรือใช้สิทธิในการอุทธรณ์และฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรวม และพร้อมกันนี้นายอมรฤทธิ์ในฐานะทนายความของจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ถึงวันที่ 15 มกราคม 2544 ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต วันที่ 25 ธันวาคม 2543 นายเริ่มยื่นอุทธรณ์ในฐานะที่เป็นทนายความของจำเลยที่ 3 โดยนายเริ่มลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์ ผู้เรียง และผู้พิมพ์ ศาลชั้นต้นสั่งว่า เนื่องจากจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอถอนทนายความนายเริ่ม ชาวอ่างทอง ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2544 (ที่ถูก 2543) ศาลอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ถอนทนายความได้ จึงไม่รับอุทธรณ์ ต่อมาไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 และนายอมรฤทธิ์ทนายความคนใหม่ของจำเลยที่ 3 ยื่นอุทธรณ์ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนในส่วนของจำเลยที่ 3 ไปยังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 3 ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยเป็นประการแรกว่า จำเลยที่ 3 มีสิทธิยื่นฎีกาหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหานี้จะต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่า จำเลยที่ 3 ได้ยื่นอุทธรณ์หรือไม่เห็นว่าจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นถึง 2 ฉบับ ว่าจำเลยไม่ประสงค์ให้นายเริ่มเป็นทนายความของจำเลยที่ 3 อีกต่อไป กล่าวคือ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2543 จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 3 ประสงค์จะเรียงอุทธรณ์ยื่นต่อศาลด้วยตนเอง จึงขอคัดสำเนาคำพยาน คำพิพากษา และขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ 30 วัน ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตต่อมาวันที่ 21 พฤศจิกายน 2543 จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 3 ไม่ประสงค์ที่จะให้ทนายความคนเดิมเรียงอุทธรณ์ให้ จำเลยที่ 3 จะจัดหาทนายความคนใหม่มาแก้ต่างในชั้นอุทธรณ์และเรียงคำอุทธรณ์ให้ แต่ระยะเวลายื่นอุทธรณ์เหลือเพียง 5 วัน จำเลยที่ 3 จึงขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ถึงวันที่ 26 ธันวาคม 2543 และตอนท้ายคำร้องมีข้อความว่า”อนึ่ง พร้อมคำร้องนี้ จำเลยที่ 3 ใคร่ขอถอนทนายความคนเดิมทุกคนที่ปรากฏในสำนวนนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป และจะได้แต่งตั้งทนายความคนใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทนต่อไป”จำเลยที่ 3 ลงชื่อเป็นผู้เรียงคำร้องฉบับนี้ ศาลชั้นต้นสั่งว่า อนุญาต ซึ่งย่อมหมายถึงอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์และอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ถอนนายเริ่มออกจากการเป็นทนายความของจำเลยที่ 3 ดังนั้น นับแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2543 นายเริ่มไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยที่ 3 อีกต่อไป ครั้นวันที่ 25 ธันวาคม 2543นายเริ่มยื่นอุทธรณ์ในฐานะที่เป็นทนายความของจำเลยที่ 3 โดยนายเริ่มลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์ ผู้เรียงและผู้พิมพ์ ซึ่งเป็นการเรียงอุทธรณ์และยื่นอุทธรณ์โดยผู้ที่ไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยที่ 3 ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ยื่นอุทธรณ์ ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ฉบับดังกล่าวจึงชอบแล้ว เมื่อจำเลยที่ 3 และทนายความคนใหม่มิได้ยื่นอุทธรณ์ ส่วนโจทก์ยื่นอุทธรณ์ แต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งสำนวนส่วนของจำเลยที่ 3 ไปยังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง จึงชอบแล้ว และเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมถึงที่สุดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวจำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิยื่นฎีกา ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 นั้นไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้และแม้ว่าในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกามีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องใช้กฎหมายเดิมซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่อไป”
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 3