แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และ ป. ร่วมกันซื้อห้องชุดพิพาทและใช้เป็นที่พักระหว่างที่เดินทางมากรุงเทพมหานคร แม้ว่าจะมิได้ใช้เป็นที่พักประจำเพียงแต่ใช้เป็นครั้งคราว ก็ถือได้ว่าเป็นกรณีเจ้าของอยู่เอง อันได้รับการยกเว้นตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 10 กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า การที่โจทก์และ ป. ให้ ส. เข้าอยู่เป็นการเฝ้ารักษาห้องชุดพิพาทหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2541 ถึงปี 2545 และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 185,887.50 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน ของต้นเงิน 185,887.50 บาท นับแต่วันที่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยคำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 22,306.50 บาท รวมเป็นเงิน 208,194 บาท กับให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน ของต้นเงินจำนวน 185,887.50 บาท จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และขอให้มีคำสั่งห้ามจำเลยแจ้งการประเมินภาษีโรงเรือนของห้องชุดดังกล่าวตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นไป
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับห้องชุดพิพาทหรือไม่ เห็นว่า โจทก์และนางสาวปิยะนุชร่วมกันซื้อห้องชุดพิพาทก็เนื่องจากโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดภูเก็ต ส่วนนางสาวปิยะนุชทำงานเป็นผู้บริหารของโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตและมีภาระกิจต้องเดินทางมาดำเนินการในกรุงเทพมหานครบ่อย เมื่อต้องเดินทางมากรุงเทพมหานครโจทก์และนางสาวปิยะนุชก็จะมาพักอยู่ที่ห้องชุดดังกล่าว ตั้งแต่ปี 2541 โจทก์และนางสาวปิยะนุชได้ให้นางสาวสมิตาซึ่งเป็นหลายพักอยู่ที่ห้องชุดพิพาทในระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยมิได้แสวงหาผลประโยชน์ใด ๆ โดยมีจุดประสงค์เพียงเพื่อให้หลานช่วยดูแลห้องชุดดังกล่าว และในช่วงที่โจทก์มาเข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2547 ถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2547 ด้วยอาการข้อเข่าขวาเสื่อมและได้ผ่าตัดใส่ข้อเข่าเทียม โจทก์ก็ได้ใช้ห้องชุดดังกล่าวเป็นที่พักฟื้นตามคำสั่งแพทย์ นอกจากนี้ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า โจทก์ก็เป็นผู้ชำระทั้งสิ้น โดยชำระผ่านบัญชีธนาคารกสิกรไทย จำกัด ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าโจทก์และนางสาวปิยะนุชร่วมกันซื้อห้องชุดพิพาทและใช้เป็นที่พักระหว่างที่เดินทางมากรุงเทพมหานคร แม้ว่าจะมิได้ใช้เป็นที่พักประจำเพียงแต่ใช้เป็นครั้งคราว ก็ถือได้ว่าเป็นกรณีซึ่งเจ้าของอยู่เอง อันได้รับการยกเว้นภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 10 กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า การที่โจทก์และนางสาวปิยะนุชให้นางสาวสมิตาเข้าอยู่เป็นการอยู่เฝ้ารักษาห้องชุดพิพาทหรือไม่ ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2541 ถึงปี 2545 ของจำเลย ให้จำเลยคืนเงินภาษีโรงเรือนและที่ดินภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ถ้าไม่คืนภายในกำหนดดังกล่าวให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนด 3 เดือน เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสองศาลรวม 3,000 บาท