แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีก่อนศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่ารถยนต์พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์คดีนี้ซึ่งเป็นผู้ร้องสอดในคดีดังกล่าว ให้ยกฟ้องของจำเลยคดีนี้ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ผลของคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวมิให้โต้เถียงกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทกับโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นผู้ร้องสอดในคดีข้างต้นอีก จำเลยย่อมไม่มีสิทธิจะยึดรถยนต์พิพาทไว้ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ จึงเป็นการฟ้องเพื่อขอให้บังคับตามสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาท จำเลยครอบครองโดยไม่มีสิทธิเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้จำเลยคืนรถยนต์และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๐๗๗๘/๒๕๓๓ ของศาลแพ่ง รถยนต์พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ จำเลยได้ครอบครองรถยนต์พิพาทตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๐ ด้วยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๙ ปี จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาท ศาลฎีกาไม่ได้มีคำพิพากษาให้จำเลยส่งมอบรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่เสียหายและค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาไม่ชอบ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ ในปัญหานี้ข้อเท็จจริงตามคดีหมายเลขดำที่ ๑๒๐๗๖/๒๕๓๑ หมายเลขแดงที่ ๑๐๗๗๘/๒๕๓๓ ของศาลแพ่งได้ความว่า จำเลยคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องขอให้บังคับบริษัทภัทรโรจน์ จำกัด ที่ ๑ นายนพพร อมาตยกุล ที่ ๒ จำเลย ร่วมกันโอนทะเบียนรถยนต์พิพาทที่จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาขายแก่จำเลยคดีนี้ ซึ่งจำเลยคดีนี้ชำระราคาครบถ้วนและได้รับมอบรถยนต์พิพาทไว้ในครอบครองแล้ว จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา แต่ระหว่างพิจารณาโจทก์คดีนี้ยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีดังกล่าวอ้างว่าจำเลยและบริษัทภัทรโรจน์ จำกัด กับพวกทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทกันโดยไม่สุจริตเพราะรถยนต์พิพาทเป็นของโจทก์ซึ่งจำเลยทราบดีอยู่แล้ว โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยส่งมอบรถยนต์พิพาทคืนแก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยไม่มีสิทธิขอให้โอนทะเบียนรถยนต์พิพาทเป็นของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง จำเลยให้การแก้คำร้องสอดในคดีดังกล่าวว่า จำเลยซื้อรถยนต์พิพาทจากบริษัทภัทรโรจน์ จำกัด และพวก โดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและได้รับมอบการครอบครองรถยนต์พิพาทไว้ตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขาย จำเลยจึงมีสิทธิไม่คืนรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ เว้นแต่โจทก์จะใช้ราคารถยนต์พิพาทแก่จำเลย ศาลฎีกาฟังว่า รถยนต์พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องสอด ให้ยกฟ้องโจทก์ในคดีดังกล่าว ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๕๑๐/๒๕๓๘ ดังนี้ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ผลของคำพิพากษาฎีกาฉบับนี้ย่อมผูกพันจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวมิให้โต้เถียงกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทกับโจทก์คดีนี้ซึ่งเป็นผู้ร้องสอดในคดีข้างต้นอีก จำเลยย่อมไม่มีสิทธิจะยึดถือรถยนต์พิพาทไว้ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ จึงเป็นการฟ้องเพื่อขอให้บังคับตามสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๕๑๐/๒๕๓๘ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่โดยที่ศาลล่างทั้งสองยังมิได้พิจารณาพิพากษาชี้ขาดประเด็นข้อพิพาทอื่นอีกหลายข้อ เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเป็นไปตามลำดับชั้นศาล จึงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิจารณาพิพากษาประเด็นข้อพิพาทอื่นที่ยังไม่ได้วินิจฉัยเสียก่อน
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ยังไม่ได้วินิจฉัย แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่.