แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ของกลางซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ใช้เฉพาะในการสงครามเป็นของทางราชการทหารแต่ได้หายไป จำเลยเป็นทหารแต่ไม่มีอำนาจหรือหน้าที่ครอบครองอาวุธปืนของกลาง การครอบครองของจำเลยไม่ใช่การครอบครองในราชการทหาร จำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 55,78 (ที่แก้ไขแล้ว)
สำเนาเอกสารซึ่งโจทก์อ้างเป็นพยานต่อศาลนั้น จำเลยไม่ได้โต้แย้งปฏิเสธแต่ประการใด ทั้งนำสืบรับด้วยว่าเป็นเอกสารติดต่อซื้อขายสุราต่างประเทศ เช่นนี้ ศาลจึงรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นๆ ของโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2514 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองกับสิบเอกอุทัย สุขศรี จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 541/2514ของศาลจังหวัดยโสธร ได้บังอาจร่วมกันมีเครื่องยิงลูกระเบิดแบบ เอ็ม 79 รวม 2 เครื่อง และมีกระสุนปืนชนิดระเบิด 30 นัดชนิดลูกปราย 6 นัด ซึ่งเป็นอาวุธใช้เฉพาะแต่ในราชการสงคราม ไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 6, 7, 38, 55, 72, 74, 78; (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2501 มาตรา 4, 5, 8, (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 มาตรา 3 กฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2501) ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นได้รวมการพิจารณากับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 541/2514แล้วพิพากษาว่าสิบเอกอุทัย สุขศรี และเรืออากาศตรีไพบูลย์ ธนะโสธรจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2501 มาตรา 8ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยคนละ 12 ปี คำให้การของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 8 ปี ให้ยกฟ้องนายอุดม ธนะโสธร จำเลย ของกลางนั้นปรากฏว่าผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 ขอรับคืนไปแล้ว จึงไม่ริบ
สิบเอกอุทัยจำเลยและเรืออากาศตรีไพบูลย์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า สิบเอกอุทัย สุขศรี จำเลย และเรืออากาศตรีไพบูลย์ ธนะโสธร จำเลย มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 55, 78; (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2501 มาตรา 5, 8 กฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2501) ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83ให้ลงโทษจำคุกสิบเอกอุทัย สุขศรี จำเลย และเรืออากาศตรีไพบูลย์ ธนะโสธร จำเลยคนละ 12 ปี สิบเอกอุทัย สุขศรี รับสารภาพเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ส่วนเรืออากาศตรีไพบูลย์ ธนะโสธรนั้น คำให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกสิบเอกอุทัย สุขศรี จำเลย 6 ปี และจำคุกเรืออากาศตรีไพบูลย์ ธนะโสธร 8 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เรืออากาศตรีไพบูลย์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าเรืออากาศตรีไพบูลย์จำเลยได้ครอบครองอาวุธปืนของกลางไว้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ที่จำเลยฎีกาว่า พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ไม่ใช่บังคับกับอาวุธปืนของทางราชการทหารและอ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2492 ระหว่างอัยการศาลทหารกรุงเทพ โจทก์พันจ่าเอกเดชา บุญสุขศรี กับพวก จำเลย และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 890/2493 ระหว่างอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 4 โจทก์ สิบเอกไสว แสงปานแก้ว จำเลย นั้นข้อเท็จจริงในคดีที่จำเลยอ้างถึงดังกล่าว ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ กล่าวคือ ในคดีดังกล่าว จำเลยผู้มีอาวุธไว้ในความครอบครองเป็นทหาร และมีหน้าที่ต้องใช้อาวุธนั้น หรือมีหน้าที่ดูแลรักษาอาวุธนั้นแต่จำเลยในคดีนี้ไม่มีอำนาจหรือหน้าที่ครอบครองอาวุธของกลาง และอาวุธของกลางก็เป็นของทางราชการทหารซึ่งหายไป การครอบครองของจำเลยไม่ใช่การครอบครองในราชการทหาร ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยฎีกาว่าศาลไม่ควรรับฟังเอกสารหมาย จ.2 อันเป็นจดหมายที่จำเลยเขียนถึงสิบเอกอุทัย สุขศรี จำเลยอีกผู้หนึ่ง เพราะไม่ใช่ต้นฉบับนั้น เห็นว่าเอกสารหมาย จ.2 เป็นเพียงเอกสารที่รับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ ทั้งจำเลยก็มิได้โต้แย้งปฏิเสธเอกสารฉบับนี้แต่ประการใด ทั้งยังนำสืบรับว่าเอกสารหมาย จ.2 นี้เป็นเอกสารที่ติดต่อซื้อขายสุราต่างประเทศเท่านั้น เพราะฉะนั้นแม้เอกสาร จ.2 นี้จะเป็นเพียงสำเนา ศาลก็รับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่น ๆ ของโจทก์ได้
พิพากษายืน