คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1543/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นสำนวนเดียวกัน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นสำนวนใหม่ ต่อมาคู่ความฎีกาทั้งสองสำนวน เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าคดีทั้งสองสำนวนนี้เกี่ยวพันกัน ย่อมให้รวมการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันได้เพื่อสะดวกแก่การพิจารณา
จำเลยที่ 1 รับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยพยาบาล จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างรายวันทำงานอยู่ที่แผนกเภสัชกรรมของโรงพยาบาลเดียวกัน จำเลยที่ 1 มีหน้าที่คิดราคายา และเขียนราคายาลงในใบสั่งยา จำหน่ายยาให้คนไข้ เมื่อเจ้าหน้าที่ออกใบเสร็จรับเงินแล้ว จำเลยที่ 1 มีหน้าที่มอบใบเสร็จรับเงินและยาให้แก่คนไข้ และมีหน้าที่ควบคุมดูแลการออกใบเสร็จรับเงินและสำเนาให้ตรงตามใบสั่งยา เมื่อรับเงินค่าจำหน่ายยาแล้ว จำเลยที่ 2 มีหน้าที่เก็บรักษาไว้เพื่อส่งให้แก่เจ้าหน้าที่การเงิน เวลาจำเลยที่ 2 ไม่อยู่ ถ้าจำเลยที่ 1 ช่วยเขียนใบเสร็จรับเงินก็ต้องมอบเงินให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 กลับมา จำเลยทั้งสองร่วมกันทำสำเนาใบเสร็จรับเงินโดยลงจำนวนเงินราคายาน้อยกว่าราคาที่จำหน่ายไปจริง แล้วร่วมกันยักยอกเอาเงินที่เกินกว่าจำนวนในสำเนาใบเสร็จ ดังนี้ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เท่านั้น เพราะจำเลยที่ 1 มิได้มีหน้าที่รักษาเงิน ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น แม้จะรับสารภาพตามฟ้องว่ากระทำผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังเงินซึ่งมีหน้าที่รักษาไว้ แต่เมื่อรวมการพิจารณาแล้ว ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ 1 มิได้มีหน้าที่รักษาเงิน จำเลยที่ 2จึงมีความผิดตามมาตรา 352 เท่านั้นเหมือนกัน

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองรวมกันมาในสำนวนเดียวกัน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นสั่งให้แยกฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นสำนวนใหม่ ในชั้นศาลฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าคดีทั้งสองสำนวนนี้เกี่ยวพันกัน เพื่อสะดวกแก่การพิจารณา จึงให้รวมการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งสองสำนวนนี้เข้าด้วยกัน

โจทก์ฟ้องมีใจความเหมือนกันทั้งสองสำนวนว่า จำเลยที่ 1เป็นเจ้าพนักงานโดยทุจริตได้บังอาจร่วมกับจำเลยที่ 2 ยักยอกเอาเงินค่าจำหน่ายยา ซึ่งจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ร่วมกันรับผิดชอบดูแลรักษารวม 424 ราย เป็นเงิน 29,415 บาท ทำให้เกิดความเสียหายแก่กรมการแพทย์ และเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมการแพทย์ และการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 157, 352, 83, 86 ให้จำเลยร่วมกันใช้เงิน 29,415 บาทแก่กรมการแพทย์ กับให้นับโทษต่อจากคดีอาญาแดงที่ 1529/2514

จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามฟ้อง ลงโทษตามมาตรา 147 ประกอบด้วยมาตรา 86 กระทงเดียว จำคุก 2 ปี 6 เดือนให้นับโทษต่อจากคดีแดงที่ 1529/2514 กับให้คืนหรือใช้เงิน 29,415 บาทแก่กรมการแพทย์ ส่วนจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 352, 83ให้ลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นกระทงหนักตามมาตรา 91 ประกอบด้วยมาตรา 3 ให้จำคุก 6 ปี ลดโทษ 1 ใน 3 ตามมาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี ให้ใช้เงิน 14,895 บาท แก่กรมการแพทย์ คำขอให้นับโทษต่อให้ยกเสีย เพราะเป็นความผิดต่อเนื่องกัน

จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์แต่ละสำนวน โจทก์อุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 1

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเฉพาะจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 พิพากษาแก้ ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 จำคุก 1 ปี 6 เดือนลดโทษกึ่งหนึ่งตาม มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือน โทษจำคุกรอไว้ 3 ปี คำขอนับโทษต่อให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ฎีกาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่นั่งพิจารณาคดีอนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ส่วนโจทก์ฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 2

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงาน ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้าง ยักยอกเอาเงินค่าจำหน่ายยาไปจริงแล้ววินิจฉัยในปัญหาว่า จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ในการเก็บรักษาเงินร่วมกับจำเลยที่ 2 หรือไม่ว่า จำเลยที่ 1 มีหน้าที่คิดราคายา และเขียนราคายาลงในใบสั่งยา จำหน่ายยาให้แก่คนไข้ เมื่อเจ้าหน้าที่ออกใบเสร็จรับเงินแล้ว จำเลยที่ 1 มีหน้าที่มอบใบเสร็จรับเงินและยาให้แก่คนไข้ และมีหน้าที่ดูแลควบคุมการออกใบเสร็จรับเงินค่าจำหน่ายยา การลงจำนวนเงินในใบเสร็จรับเงินและสำเนาใบเสร็จรับเงินให้ตรงตามใบสั่งยา เมื่อรับเงินค่าจำหน่ายยาแล้ว จำเลยที่ 2มีหน้าที่เก็บรักษาเงินไว้เพื่อส่งให้แก่เจ้าหน้าที่การเงิน ในกรณีจำเลยที่ 2 ไม่อยู่ ถ้าจำเลยที่ 1 ช่วยเขียนใบเสร็จรับเงิน เมื่อจำเลยที่ 2 กลับมา ก็ต้องมอบเงินให้จำเลยที่ 2 ไป จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีหน้าที่เก็บรักษาเงิน จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 2 แม้จะให้การรับสารภาพก็ตาม แต่ตามที่ได้วินิจฉัยมาแล้วว่าจำเลยที่ 1 มิได้มีหน้าที่เก็บรักษาเงิน จำเลยที่ 2 ซึ่งมีหน้าที่เก็บรักษาเงินเป็นเพียงลูกจ้างของกรมการแพทย์ มิใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมายจำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เท่านั้น

ที่ฎีกาว่าเป็นฟ้องซ้ำนั้น เห็นว่า เป็นคนละกรรมกับคดีนี้ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 1 เป็นว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 83 ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือนลดตามมาตรา 78 แล้วเหลือ 1 ปีให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี กับให้จำเลยทั้งสองใช้เงิน 14,895 บาทแก่กรมการแพทย์ด้วย

Share