คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2461/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาว่า การดำเนินคดีของโจทก์เป็นการไม่สุจริตจะรับฟังตามคำเบิกความของพยานโจทก์ได้อย่างไรว่า จำเลยพึ่งล้อมรั้วและปักเสาคอนกรีตลงในที่ดินพิพาทในปลายปี 2530 อาจเป็นเดือนกรกฎาคมสิงหาคม หรือต้นเดือนกันยายนก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2531 คดีของโจทก์จะขาดอายุความพยานโจทก์บางคนมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลย ฉะนั้นคำเบิกความของพยานโจทก์จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งนั้น เป็นฎีกาที่ไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างใดและข้อกฎหมายเป็นอย่างใด เพียงแต่เสนอความเห็นว่า น่าจะต้องรับฟังคำเบิกความของพยานโจทก์ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งเท่านั้นเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก การที่จำเลยยื่นสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 331/2533ของศาลชั้นต้นพร้อมเอกสารประกอบคดีท้ายฟ้องฎีกา เป็นการอ้างและยื่นพยานหลักฐานต่อศาลโดยฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2) และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาไม่รับฟังพยานหลักฐานนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส.3 ก.จำเลยได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ทั้งแปลงโดยล้อมรั้วฝังเสาคอนกรีตทางทิศเหนือตลอดแนว และปลูกต้นมะม่วงหิมพานต์ในที่ดินของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วและต้นมะม่วงหิมพานต์ออกไป หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอนได้โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีก
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโจทก์ขอออก น.ส.3 ก. ลงในที่ดินของจำเลยโดยหลงผิดว่าเป็นของโจทก์ปี 2527 โจทก์ยอมรับว่า จะโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยเมื่อไถ่ถอนจำนองแล้วและเลิกทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท โดยโจทก์สละสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทให้จำเลยตั้งแต่นั้นมา จำเลยล้อมรั้วลวดหนามปักเสาคอนกรีต และทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนับแต่ปีดังกล่าว จนบัดนี้เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว จึงได้สิทธิครอบครอง ขอให้ยกฟ้องโจทก์และพิพากษาให้ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกจากที่ดินพิพาทและให้โจทก์โอนที่ดินพิพาทให้จำเลย หากโจทก์ไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ขอออก น.ส.3 ก. โดยถูกต้องมิได้หลงผิด ซึ่งจำเลยทราบดีและมิได้คัดค้าน โจทก์ไม่เคยยอมรับว่าจะโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยและไม่เคยสละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วทางทิศเหนือและต้นมะม่วงหิมพานต์ออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทและให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ส่วนฎีกาจำเลยว่าการดำเนินคดีของโจทก์เป็นการไม่สุจริต จะรับฟังตามคำเบิกความของพยานโจทก์ได้อย่างไรว่า จำเลยพึ่งล้อมรั้วและปักเสาคอนกรีตลงในที่ดินพิพาทในปลายปี2530 อาจเป็นเดือนกรกฎาคม สิงหาคม หรือต้นเดือนกันยายนก็ได้หากเป็นเช่นนั้นจริงโจทก์มาฟ้องคดีเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2531คดีของโจทก์จะขาดอายุความเพราะโจทก์ดำเนินคดีเกินกว่า 1 ปีนับแต่วันที่จำเลยปักเสาคอนกรีตได้แสดงตนเป็นเจ้าของในที่ดินพิพาท และพยานโจทก์บางคนมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลย ฉะนั้นคำเบิกความของพยานโจทก์จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งนั้นเป็นฎีกาที่ไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างใดไม่ยืนยันว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างใด และข้อกฎหมายเป็นอย่างใดเพียงแต่เสนอความเห็นว่าน่าจะต้องรับฟังคำเบิกความของพยานโจทก์ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งเท่านั้น เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ข้อที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีใหม่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทว่า โจทก์ล้อมรั้วรุกล้ำที่ดินของจำเลยทางด้านทิศตะวันออก และทางด้านทิศตะวันตก ศาลได้พิพากษาให้โจทก์รื้อรั้วออกไปจากที่ดินของจำเลยดังกล่าว คดีถึงที่สุดแล้ว ปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 331/2533 ของศาลชั้นต้น พร้อมเอกสารประกอบคดีท้ายฟ้องฎีกาจำเลย จึงทำให้แนวเขตที่ดินพิพาทเปลี่ยนแปลงไปนั้น เห็นว่า การที่จำเลยยื่นสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขที่ 331/2533 ของศาลชั้นต้นพร้อมเอกสารประกอบคดีท้ายฟ้องฎีกาจำเลย เป็นการอ้างและยื่นพยานหลักฐานต่อศาลโดยฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาจึงไม่รับฟังพยานหลักฐานนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share