แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ ไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง โจทก์พยายามอ้างข้อกฎหมายเพื่อนำไปสู่การโต้เถียง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาและเป็นข้อกฎหมายที่ไม่ได้ ยกว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 และมาตรา 249ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า ฎีกาโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนว่า เอกสารที่ระบุว่าจำเลยได้ยืม เงินโจทก์ย่อมแสดงว่าจำเลยได้รับเงินที่ยืมไปแล้วตามที่ บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคแรก โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยทั้งสองยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ชำระค่าคำร้องมา 200 บาท
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ชำระเงินจำนวน42,218.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 35,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 50)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 52)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เมื่อศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริง แล้วว่าไม่มีการรับเงินตามสัญญากู้ยืม โจทก์จะฎีกาโต้เถียง อีกว่าเมื่อจำเลยทั้งสองรับว่าได้ทำสัญญากู้ยืมและค้ำประกัน ไว้อันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรคแรก ก็ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์ จำเลยทั้งสองต้องรับผิด ย่อมเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของ โจทก์คืนค่าคำร้องที่เสียเกินมา 160 บาทให้แก่โจทก์ด้วย