แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ระหว่างการพิจารณาคดีล้มละลาย จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ ศาลจึงงดการพิจารณาคดีล้มละลายไว้ ต่อมาศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 และมีเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 อีกครั้ง แต่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอ ศาลจึงไม่งดการพิจารณาคดีล้มละลาย ซึ่งพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) บัญญัติให้ศาลที่พิจารณาคดีล้มละลายของจำเลยแล้ว หลังจากนั้นศาลได้รับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยจะต้องงดการพิจารณาคดีล้มละลายไว้จนกระทั่งคดีฟื้นฟูกิจการดังกล่าวมีเหตุที่ไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาฟื้นฟูกิจการต่อไป ดังนั้น เมื่อศาลในคดีที่มีการร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 มีคำสั่งยกคำร้องขอ แม้มีการอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวก็ตาม กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ที่ศาลในคดีล้มละลายจะต้องงดการพิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสามไม่ยื่นคำให้การ
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 และให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสาม เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า คดีในส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีคู่ความอุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลาง คดีคงมีปัญหาพิจารณาเฉพาะจำเลยที่ 1 ซึ่งข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้อุทธรณ์โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลแพ่งธนบุรี คดีหมายเลขแดงที่ 1726/2551 ภายหลังศาลมีคำพิพากษาจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมอื่นตามคำพิพากษาไม่ชำระหนี้ คำนวณภาระหนี้ตามคำพิพากษาจนถึงวันฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 1 คงเป็นหนี้โจทก์จำนวน 23,385,393.63 บาท จำเลยที่ 1 มีหนี้สินล้นพ้นตัว ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ ศาลล้มละลายกลางจึงมีคำสั่งงดการพิจารณาคดีนี้เฉพาะจำเลยที่ 1 ต่อมาศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 ตามคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.15/2555 เจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 รวม 10 ราย ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 อีกครั้ง แต่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอ ตามคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.19/2555
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่า การที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เด็ดขาดในคดีนี้ โดยไม่งดการพิจารณาเพื่อรอให้คดีฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.19/2555 ถึงที่สุดก่อนชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 90/13 และมาตรา 90/14 นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผนหรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอ (4) และห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลาย ในกรณีที่มีการฟ้องคดีหรือเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดไว้ก่อนแล้ว ให้งดการพิจารณาไว้ เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น” จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้ศาลที่พิจารณาคดีล้มละลายของจำเลยแล้ว หลังจากนั้นศาลได้รับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยจะต้องงดการพิจารณาคดีล้มละลายไว้จนกระทั่งคดีฟื้นฟูกิจการมีเหตุที่ไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาฟื้นฟูกิจการต่อไป ดังนั้น เมื่อศาลในคดีที่มีการร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 มีคำสั่งยกคำร้องขอแล้ว กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 (4) ที่ศาลในคดีล้มละลายจะต้องงดการพิจารณา แม้ว่าคดีฟื้นฟูกิจการจะมีการอุทธรณ์คำสั่งยกคำร้องขอก็ตาม ทั้งนี้ เมื่อคดีนี้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์จำนวน 23,385,393.63 บาท และมีหนี้สินล้นพ้นตัว โดยที่จำเลยที่ 1 ไม่นำสืบพยานหลักฐานในคดีนี้เลยว่า จำเลยที่ 1 อาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด หรือกรณีมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยที่ 1 ล้มละลาย ดังนั้น แม้ว่าเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 จะยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอและเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวก็ตาม กรณีก็มิใช่เหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยที่ 1 ล้มละลาย การที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เด็ดขาด จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ