คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4544/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายกับพวกบุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้านของจำเลยในเวลากลางคืนโดยเจตนาที่จะลักทรัพย์ เมื่อจำเลยได้ยินเสียงสัญญาณป้องกันขโมยดังขึ้นจึงนำอาวุธปืนสั้นลงมาดู ก็ถูกฝ่ายผู้ตายใช้อาวุธปืนยิงก่อนในระยะใกล้แม้กระสุนปืนไม่ถูกจำเลยก็ยังไม่เป็นการแน่นอนว่าฝ่ายผู้ตายจะซ้ำอีกหรือไม่ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปทางกลุ่มคนร้ายซึ่งมีผู้ตายอยู่ด้วยเพียงนัดเดียวในระยะกระชั้นชิดเช่นนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิในชีวิตและทรัพย์สินของตนให้พ้นภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายของผู้ตายกับพวกพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างเวลากลางคืนหลังเที่ยงของวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๒๗ ถึงเวลากลางคืนก่อนเที่ยงของวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๒๗ จำเลยบังอาจใช้อาวุธปืนสั้นยิงนายปรีชา ทรงแสงจันทร์ บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่า เหตุเกิดที่บ้านพักของจำเลย ตำบลบางแก้ว อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า คดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายปรีชา ทรงแสงจันทร์ โดยเจตนาฆ่าแต่เป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๖๙ จำคุก ๕ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในคดีรับฟังได้ว่าผู้ตายถูกกระสุนปืนของจำเลยถึงแก่ความตายจริง ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยยิงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของตนพอสมควรแก่เหตุอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ ๑ นาฬิกาของวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๒๗ หลังเกิดเหตุพันตำรวจโทสุขุม จันทร์หอม สารวัตรสืบสวนสอบสวนกับร้อยตำรวจเอกพิสันต์ สอน วสัย รองสารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจภูธร อำเภอโพธารามได้ร่วมกันสอบสวนนายอำพองหรือสำรวล นาคาภูมิพัฒน์ นายสุรินทร์ ตุ้มเล็ก และนายณรงค์ ปุจฉาการ ไว้ตามบันทึกคำให้การของพยานเอกสารหมาย ล.๑๒ แผ่นที่ ๑ ที่ ๘ และที่ ๙ ซึ่งเป็นเวลากระชั้นชิดใกล้เคียงกับเวลาเกิดเหตุ นายลำพองหรือสำรวลให้การว่าได้ยินเสียงปืนดัง ๔ นัด นายสุรินทร์และนายณรงค์ให้การว่าได้ยินเสียงปืนดัง ๓ – ๔ นัด และนายจิตต์ รอดคำ นายวิเชียร นิ่มจันทร์ กับเด็กชายบุญธรรม แซ่ภู พยานโจทก์เบิกความว่าได้ยินเสียงปืนดัง ๓ นัด เมื่อจำเลยได้ยิงผู้ตายแล้วเวลาประมาณ ๖ นาฬิกา พันตำรวจโทสุขุมกับร้อยตำรวจเอกพิสันต์ได้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ ร้อยตำรวจเอกพิสันต์เบิกความชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าขณะตรวจสถานที่เกิดเหตุได้สอบถามจำเลยแล้ว จำเลยแจ้งว่าได้ยินเสียงสัญญาณป้องกันขโมยดังขึ้นจึงนำอาวุธปืนสั้นลงมาดู เห็นคนร้าย ๓ คน คนร้ายยิงจำเลย ๑ นัด จำเลยยิงสวนไป ๑ นัด เมื่อจำเลยได้มอบอาวุธปืนที่ใช้ยิงผู้ตายให้แก่พนักงานสอบสวนนั้นก็ปรากฏว่าในลูกโม่ซึ่งบรรจะกระสุนปืนได้ ๕ นัดนั้น มีกระสุนปืนที่ยังไม่ได้ใช้ยิง ๔ นัด กับปลอกกระสุนที่ยิงแล้ว ๑ ปลอก ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าได้มีเสียงปืนดังขึ้น ๓ หรือ ๔ นัด แต่จำเลยได้ยิงเพียงนัดเดียวคือนัดที่ถูกผู้ตาย ส่วนเสียงปืนนัดอื่นน่าจะเป็นปืนของคนร้ายอีก ๒ คน ที่มากับผู้ตายดังแจ้งและให้การต่อพันตำรวจโทสุขุมกับร้อยตำรวจเอกพิสันต์ในชั้นสอบสวนและตามที่จำเลยนำสืบไว้ การที่ผู้ตายกับพวกได้เข้าไปในบริเวณบ้านของจำเลยเวลาประมาณ ๑ นาฬิกา ทั้งมีร่องรอยการงัดสายยูประตูห้องเก็บของซึ่งอยู่ใต้ถุนบ้านของจำเลยอันเป็นการบุกรุกโดยเจตนาที่จะลักทรัพย์ของจำเลย และจำเลยถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงก่อนในระยะใกล้ ไม่มีแสงสว่างที่จะเห็นได้ชัดว่าคนร้ายอยู่บริเวณใด แม้กระสุนปืนจากคนร้ายไม่ถูกจำเลยก็ยังไม่เป็นการแน่นอนว่าคนร้ายจะยิงซ้ำอีกหรือไม่ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปทางกลุ่มคนร้ายซึ่งมีผู้ตายอยู่ด้วยเพียงนัดเดียวในระยะกระชั้นชิดเช่นนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิในชีวิตและทรัพย์สินของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายของผู้ตายกับพวกพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๘ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share