แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยงัดกลอนประตูบ้านและใช้กำลังผลักดันบานประตูจนเปิดออกแล้วเข้าไปในบ้านอันเป็นการกระทำความผิดฐานบุกรุกเคหสถานสำเร็จแล้วบทหนึ่ง หลังจากนั้นจำเลยใช้กำลังชกต่อยกอดปล้ำข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 จนสำเร็จความใคร่ 2 ครั้ง อันเป็นการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราสำเร็จอีกบทหนึ่ง แต่การกระทำความผิดทั้งสองฐานดังกล่าว ได้กระทำในวาระเดียวกันและต่อเนื่องเชื่อมโยงติดต่อกันไปโดยไม่ขาดตอน แสดงว่าจำเลยมุ่งประสงค์ที่จะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 เป็นสำคัญ มิได้เจตนาแยกการกระทำความผิดของตนเป็นรายกรรม การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277 วรรคแรก, 364, 365 (1) (3) และบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษในคดีดังกล่าวเข้ากับคดีนี้
จำเลยให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก, 365 (1) (3) เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานบุกรุกจำคุก 4 ปี ฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี จำคุก 15 ปี รวมจำคุก 19 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 ปี 6 เดือน บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษคดีนี้เป็นจำคุก 9 ปี 12 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 8 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง จำคุก 4 ปี บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษเข้ากับโทษคดีนี้คงจำคุก 4 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม เห็นว่า จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องว่าจำเลยได้งัดกลอนประตูบ้านแล้วใช้กำลังผลักดันบานประตูบ้านของนาง น. ผู้เสียหายที่ 1 โดยมีเด็กหญิง อ. ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งอยู่ภายในบ้านใช้มือผลักดันบานประตูบ้านมิให้จำเลยเปิดเข้าไป แต่ไม่สามารถทานกำลังของจำเลยได้ จำเลยจึงผลักดันบานประตูจนเปิดออกแล้วเข้าไปในบ้าน อันเป็นการกระทำความผิดฐานบุกรุกเคหสถานสำเร็จแล้วบทหนึ่ง หลังจากนั้นจำเลยใช้กำลังชกต่อยบริเวณท้องผู้เสียหายที่ 2 จนจุกเสียดล้มลงแล้วถอดเสื้อผ้ากอดปล้ำข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 จนสำเร็จความใคร่ 2 ครั้ง อันเป็นการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราสำเร็จอีกบทหนึ่ง แต่การกระทำความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวได้กระทำในวาระเดียวกันและต่อเนื่องเชื่อมโยงติดต่อกันไปโดยไม่ขาดตอน แสดงว่าจำเลยมุ่งประสงค์ที่จะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 เป็นสำคัญ มิได้เจตนาแยกการกระทำความผิดของตนเป็นรายกรรม การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่โจทก์ฎีกาอีกว่าขอให้ลงโทษจำเลยสถานหนักตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กระทงความผิด ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยกระทำความผิดเพียงกรรมเดียว แต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และให้ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราซึ่งเป็นบทหนักที่สุดเพียงบทเดียว อันเป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายืน