แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องฎีกาเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1(3) จึงต้องแสดงให้แจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยต้องมีข้อโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เมื่อฎีกาโจทก์บรรยายเพียงว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาอย่างไร แต่มิได้บรรยายว่าคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาอย่างไร กรณีจึงไม่อาจทราบได้ว่าข้อที่โจทก์ยกขึ้นฎีกาได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์หรือไม่ทั้งฎีกาโจทก์มีข้อความว่า “ด้วยความเคารพต่อศาลชั้นต้น โจทก์เห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นยังคลาดเคลื่อน โจทก์ขอประทานกราบเรียนศาลที่เคารพโปรดพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น” ดังนี้ฎีกาโจทก์มิได้เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หากแต่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฟ้องฎีกาโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ประกอบมาตรา 246,247 และพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 153
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า หนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ที่ไม่ชอบและเกิน 10 ปีแล้วโดยโจทก์มิได้ขอบังคับคดีแต่อย่างใดจึงเป็นหนี้ที่จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดจำเลยทั้งสองมิได้เป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยทั้งสองมิได้ถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดีและฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ตามฟ้อง ส่วนที่โจทก์นำสืบถึงพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองที่มีเจตนาหลบหนีไปเสียจากเคหะสถานที่เคยอยู่นั้นโจทก์มิได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวมาในฟ้อง จึงเป็นการนำสืบข้อเท็จจริงนอกฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยไปเสียจากเคหะสถานที่เคยอยู่ ทั้งหนี้ตามคำพิพากษาของศาลซึ่งโจทก์ถือเป็นเหตุแห่งการฟ้องจำเลยทั้งสอง ไม่ปรากฏว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอบังคับคดีภายใน 10 ปี คดีส่วนแพ่งจึงพ้นกำหนดเวลาที่โจทก์จะร้องขอให้บังคับคดีได้ กรณียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำฟ้องฎีกานั้นเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3) จึงต้องแสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยต้องมีข้อโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ฎีกาของโจทก์บรรยายถึงแต่เพียงศาลชั้นต้นพิพากษาว่าอย่างไร แต่มิได้บรรยายต่อไปว่ามีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาว่าอย่างไร จึงไม่อาจทราบได้ว่าข้อที่โจทก์ยกขึ้นฎีกาได้มีการยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่าจำเลยจะถูกบังคับหรือยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดีหรือไม่ มิใช่ข้อที่จะนำมาวินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยมิใช่ผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาพอให้รับฟังได้แล้วว่า จำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดจะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ ทั้งโจทก์มีสิทธินำสืบถึงพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองหลบหนีออกไปจากเคหสถานที่เคยอยู่อาศัยได้ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบกับข้อความตอนแรกที่ได้บรรยายว่า”ด้วยความเคารพต่อศาลชั้นต้น โจทก์เห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นยังคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายหลายประการดังจะกราบเรียนต่อศาลที่เคารพดังนี้ ฯลฯ” และในตอนท้ายฎีกามีคำขอว่า”โจทก์ขอประทานกราบเรียนศาลที่เคารพโปรดพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฯลฯ” เห็นได้ว่าฎีกาของโจทก์มิได้เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ แต่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นคำฟ้องฎีกาของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ประกอบด้วย มาตรา 246, 247 และพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ศาลฎีกาไม่วินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของโจทก์