คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 335/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินของจำเลยทำสวนไม่ใช่ทำนา พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524บัญญัติคุ้มครองเฉพาะการเช่านาโดยบังคับไว้ในหมวดที่ 2 ส่วนการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างอื่นได้บัญญัติแยกไว้ต่างหากในหมวด 3 ว่าด้วยการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างอื่นโดยมาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติถึงกรณีที่รัฐบาลเห็นสมควรให้มีการควบคุมการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทอื่นนอกจากการเช่านาให้กระทำโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาแต่จนบัดนี้ยังไม่มีการตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการควบคุมการประกอบเกษตรกรรมประเภทใดอีก โจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าว จำเลยขาดประโยชน์จากการที่อาจให้บุคคลอื่นเช่าที่ดินพิพาทจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้จากโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของจำเลยที่ 1 ทำสวนเดิมที่ดินของจำเลยที่ 1 เป็นที่รกร้างว่างเปล่า โจทก์ได้เข้าหักร้างถางพงปรับพื้นดินยกขึ้นเป็นร่องสวน ปลูกมะนาว พุด กล้วยหอมและอื่น ๆ มีรายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 3,000 บาท ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้จ้างวานให้บุคคลอื่นทำการปักหลักกั้นรั้วลวดหนามกีดขวางทางเข้าออกของโจทก์ ห้ามไม่ให้โจทก์เข้าไปดูแลรักษาพืชผลไม้ที่ปลูกไว้ในที่ดินตามปกติและไม่สามารถเก็บเกี่ยวพืชผลไม้เนื่องจากการเช่าที่ดินรายนี้เป็นการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โจทก์ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนรั้วที่กั้นกีดขวางทางเข้าออกในที่ดินที่โจทก์เช่าจากจำเลยที่ 1 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000บาท นับแต่วันที่จำเลยทั้งสองกั้นรั้วจนกว่าจำเลยทั้งสองจะได้จัดการรื้อถอนรั้วให้โจทก์เข้าไปเก็บเกี่ยวพืชผลไม้ได้ตามปกติและให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้แก่โจทก์ มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่ครบกำหนดในสัญญาเช่า
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี ครั้นใกล้ครบกำหนดอายุการเช่า จำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือถึงโจทก์ว่าถ้าประสงค์จะเช่าที่ดินต่อ ก็ให้ไปทำหนังสือสัญญาเช่าภายในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2531 โจทก์ตอบว่ายังจะขอเช่าทำสวนต่อไป ในที่สุดไม่มีการต่อหนังสือสัญญาเช่าจำเลยที่ 1 มีหนังสือบอกเลิกการเช่า ให้โจทก์ส่งมอบการครอบครองที่ดินคืน โจทก์ยอมรับตามหนังสือบอกเลิกการเช่า แต่อ้างว่าโจทก์เสียหายเป็นเงิน 200,000 บาท จำเลยที่ 1 นำลวดหนามมาขึงกั้นตามแนวคันสวนด้านติดคลองบางใหญ่เพียงด้านเดียวเพื่อป้องกันคนร้ายเข้าไปลักมะม่วงของจำเลยที่ 1 อีก 3 ด้านคงปล่อยให้เปิดในสภาพเดิม จำเลยที่ 1 หาได้มีเจตนารบกวนการครอบครองของโจทก์ไม่เพราะสัญญาเช่าครบกำหนดแล้วและหลังจากกั้นรั้วลวดหนามแล้วโจทก์ สามีโจทก์ และบุตรชายโจทก์ก็ยังเข้าไปในสวนของจำเลยที่ 1เก็บดอกไม้วิดน้ำออกจากสวน โดยไม่มีสิทธิที่จะอ้างได้ตามกฎหมายเป็นการละเมิดสิทธิของจำเลยที่ 1 ทำให้จำเลยที่ 1 เสียหาย ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาขับไล่โจทก์กับบริวารออกไปจากที่พิพาท ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 เป็นเงินเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันที่สัญญาเช่าครบกำหนด
จำเลยที่ 2 ให้การว่า คดีนี้เป็นเรื่องพิพาทกันเกี่ยวกับการเช่าที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เท่านั้น จำเลยที่ 2ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลยที่ 1 ว่า สัญญาเช่าฉบับดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทน โดยโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงกันว่าจำเลยที่ 1ยอมให้โจทก์ทำประโยชน์ในที่ดินด้วยทุนทรัพย์ของตนเองและให้โจทก์เก็บกินในที่พิพาทต่อไปเป็นระยะเวลา 9 ปี นับแต่วันที่สัญญาเช่าครบกำหนด ต่อมาโจทก์ได้รับหนังสือจากจำเลยที่ 1 แจ้งว่าให้โจทก์ทำสัญญาเช่าต่อ ถ้าไม่ต่อถือว่าสละสิทธิ โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 1ทราบว่าจะขอทำสัญญาเช่าต่อไป แต่จำเลยที่ 1 กลับมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าต่อโจทก์ โจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านและมีหนังสือร้องเรียนถึงที่ว่าการอำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ว่าการเช่ารายนี้เป็นการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โจทก์ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้องแย้งขับไล่โจทก์ ค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 เรียกจากโจทก์นั้นสูงเกินความจริง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกไปจากที่พิพาทของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1เดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันที่พ้นกำหนดสัญญาเช่าจนกว่าโจทก์และบริวารจะออกไปจากที่พิพาทของจำเลยที่ 1
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การเช่าที่พิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 สัญญาเช่าที่พิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 หมดอายุการเช่าแล้ว โจทก์ต้องออกไปจากที่พิพาทและใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 ปัญหาในชั้นฎีกามีว่าการเช่าที่พิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 หรือไม่ เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินของจำเลยที่ 1 ทำสวนไม่ใช่ทำนา พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 บัญญัติคุ้มครองเฉพาะการเช่านาโดยบังคับไว้ในหมวดที่ 2 ส่วนการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างอื่นได้บัญญัติแยกไว้ต่างหากในหมวด 3 ว่าด้วยการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างอื่น โดยมาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติถึงกรณีที่รัฐบาลเห็นสมควรให้มีการควบคุมการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทอื่น นอกจากการเช่านาให้กระทำโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา แต่จนบัดนี้ยังไม่มีการตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการควบคุมการประกอบเกษตรกรรมประเภทใดอีก โจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ส่วนเรื่องค่าเสียหายตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า ที่พิพาทเป็นที่สวนมีเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ และฟ้องของโจทก์ก็บรรยายว่าพืชผลที่เก็บได้จากที่พิพาทจำหน่ายได้ไม่น้อยกว่าเดือนละ 3,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 อันเนื่องจากจำเลยที่ 1 ขาดประโยชน์จากการที่อาจให้บุคคลอื่นเช่าที่พิพาทเดือนละ 1,000 บาท นับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดสัญญาเช่าเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์และบริวารจะออกไปจากที่พิพาทของจำเลยที่ 1 เป็นค่าเสียหายที่เหมาะสมแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share