แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกา ไม่ส่งคำร้องของจำเลยไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และไม่มีเหตุที่จะงดการอ่านคำสั่งของศาลฎีกา โดยให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสามฉบับ และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป คดีย่อมเป็นที่สุดนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 19 วรรคสาม จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้อีก
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง จำคุก 7 ปี และปรับ 400,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับได้ไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติด พิพากษายืน
จำเลยยื่นฎีกาพร้อมคำร้องขออนุญาตฎีกา ระหว่างที่ศาลฎีกาพิจารณาคำร้องขออนุญาตฎีกา วันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาส่งคำร้องของจำเลยพร้อมสำนวนไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ตามฟ้องและคำพิพากษาในคดีนี้ที่อ้างข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2) ขัดต่อหลักนิติกรรมและขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หรือไม่ และขอให้รอการพิพากษาไว้จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
วันที่ 26 ตุลาคม 2558 ศาลฎีกาส่งสำนวนพร้อมคำสั่งคำร้องไปยังศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาในวันที่ 28 ธันวาคม 2558
วันที่ 24 ธันวาคม 2558 จำเลยยื่นคำร้องว่าเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2558 จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติส่งคำร้องของจำเลยไปศาลรัฐธรรมนูญ จึงขอให้ศาลชั้นต้นงดอ่านคำสั่งคำร้องของศาลฎีกาในวันนัดดังกล่าว
วันที่ 28 ธันวาคม 2558 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งคำร้องพร้อมสำนวนไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณา และให้นัดฟังคำสั่งศาลฎีกาในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 จำเลยยื่นคำร้องว่าเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาขอให้สั่งให้ศาลชั้นต้นงดอ่านคำสั่งศาลฎีกาและส่งสำนวนคืนศาลฎีกา เนื่องจากจำเลยได้ขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องพร้อมความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งอยู่ระหว่างที่ศาลฎีกาพิจารณาสั่งคำร้องดังกล่าว จึงขอให้ศาลชั้นต้นงดอ่านคำสั่งศาลฎีกาในวันนัดดังกล่าวไว้ก่อน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559 ว่าในชั้นนี้คดีมีประเด็นตามคำร้องของจำเลยเพียงว่า จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาได้หรือไม่เท่านั้น ทั้งเหตุที่อ้างตามคำร้องลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 นั้น เป็นเหตุเดียวกับที่จำเลยขอให้ศาลส่งคำร้องให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ตามคำร้องลงวันที่ 18 ธันวาคม 2558 กรณีจึงไม่มีเหตุให้งดอ่านคำสั่งศาลฎีกา และได้อ่านคำสั่งคำร้อง ย.818/2557 ย.2039/2557 และ ย.1763/2558 ของศาลฎีกาให้จำเลยฟังแล้ว ซึ่งตามคำสั่งคำร้องที่ ย.818/2557 ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความที่ตัดสินไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรจะได้วินิจฉัย จึงไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกา ให้ยกคำร้อง คำสั่งคำร้องที่ ย.2039/2557 ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยยื่นคำร้องนี้เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 ภายหลังจากที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ยกเว้นหมวด 2 ได้สิ้นสุดลงแล้ว ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 แม้ต่อมาได้มีการประกาศใช้บังคับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 45 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยปัญหากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แต่ก็หมายถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 เท่านั้น มิได้มีบทบัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ศาลฎีกาจึงไม่อาจส่งคำร้องของจำเลยไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ กรณีไม่มีเหตุให้รอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว ให้ยกคำร้อง และคำสั่งคำร้องที่ ย.1763/2558 ศาลฎีกาเห็นว่า ไม่มีเหตุที่จะให้งดอ่านคำสั่งของศาลฎีกา ให้ยกคำร้อง และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
จำเลยอุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นงดอ่านคำสั่งศาลฎีกา ฉบับลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 และเพิกถอนการอ่านคำสั่งคำร้องที่ ย.818/2557 ย.2039/2557 และ ย.1763/2558 ของศาลฎีกา และให้ส่งคำสั่งคำร้องดังกล่าว และสำนวนคืนศาลฎีกาเพื่อดำเนินการต่อไปพร้อมเพิกถอนคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยด้วย
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติด เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการโต้แย้งเพื่อขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณา ซึ่งอ้างว่าเป็นการผิดระเบียบในชั้นฎีกา การพิจารณาจึงเป็นอำนาจของศาลฎีกา จำเลยจึงต้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาโดยตรง จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกา ขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษา ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของดการอ่านคำสั่งของศาลฎีกา ฉบับลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 และเพิกถอนการอ่านคำสั่งคำร้องที่ ย.818/2557 ย.2039/2557 และ ย.1763/2558 ของศาลฎีกา แล้วให้ส่งคำร้องดังกล่าวพร้อมสำนวนคืนศาลฎีกาเพื่อดำเนินการต่อไปและขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ออกหมายจับจำเลยด้วยนั้น เห็นว่า เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกา ไม่ส่งคำร้องของจำเลยไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และไม่มีเหตุที่จะให้งดการอ่านคำสั่งของศาลฎีกา โดยให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสามฉบับ และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป คดีย่อมเป็นที่สุดนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 19 วรรคสาม จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้อีก ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมานั้น จึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลย