แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมที่พิพาทเป็นของโจทก์ แต่จำเลยได้เข้าแย่งการครอบครองโดยเข้าทำนาใน พ.ศ.2516 และ 2517 เป็นเวลาถึง 2 ปี โจทก์หาได้ฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนด 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองไม่ โจทก์จึงเสียสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองที่หลุดมือไปแล้วตั้งแต่นั้นทันที และพร้อมกันนั้นจำเลยก็ได้สิทธิเพิ่มขึ้นใหม่อีกที่จะไม่ต้องคืนการครอบครองให้แก่โจทก์ที่จำเลยแย่งการครอบครองมา การที่โจทก์เอากล้าของจำเลยดำทำนาและเก็บเกี่ยวข้าวเอาไประหว่างที่จำเลยถูกฟ้องคดีอาญาข้อหาว่าบุกรุกที่พิพาทใน พ.ศ.2518 และต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีอาญาโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเข้าทำนาพิพาทโดยถือว่าเป็นของจำเลยเองแล้ว จำเลยจึงกลับเข้าทำนาพิพาทใน พ.ศ.2519 ต่อไปตามเดิมนั้น ถือได้ว่าเป็นเหตุอันมีสภาพเป็นเหตุชั่วคราวมาขัดขวางมิให้จำเลยยึดถือที่พิพาทในระหว่างถูกฟ้องคดีอาญา การครอบครองของจำเลยจึงไม่สิ้นสุดลง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยและบริวารบุกรุกที่ดินโจทก์ โจทก์ห้ามแล้ว จำเลยกลับโต้แย้งสิทธิ ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่า พ.ศ. 2515 จำเลยบุกเบิกทำนา ต่อมาวันที่ 18 มิถุนายน 2516 โจทก์ร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ว่าจำเลยบุกรุกแล้วเพิกเฉยไม่ดำเนินคดี จำเลยคงปลูกข้าวตลอดมา วันที่ 1 มีนาคม 2518 โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกอีก จำเลยถูกฟ้องเป็นคดีอาญา ศาลยกฟ้อง ระหว่างถูกจับกุมโจทก์ให้บริวารเข้าทำนาพิพาท จำเลยจึงไม่ได้ทำนาในฤดูทำนาปี 2518 ที่พิพาทเป็นที่มือเปล่าไม่มีหนังสือสำคัญจำเลยเข้าครอบครองตั้งแต่ พ.ศ. 2515 โจทก์ไม่ฟ้องเอาคืนภายในเวลา1 ปี คดีขาดอายุความแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่พิพาทตามแผนที่กลางเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เดิมที่พิพาทเป็นของโจทก์ แต่จำเลยได้เข้าแย่งการครอบครองโดยเข้าทำนาในที่พิพาทในปี พ.ศ. 2516 และ พ.ศ. 2517เป็นเวลาถึง 2 ปี โจทก์หาได้ฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ไม่โจทก์จึงย่อมเสียสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองที่หลุดมือไปแล้วตั้งแต่นั้นทันที และพร้อมกันนั้นจำเลยก็ได้สิทธิเพิ่มขึ้นใหม่อีกที่จะไม่ต้องคืนการครอบครองให้แก่โจทก์ที่จำเลยแย่งการครอบครองมา การที่โจทก์เอากล้าของจำเลยดำทำนาและเก็บเกี่ยวข้าวเอาไปในระหว่างที่จำเลยถูกฟ้องคดีอาญาในปี พ.ศ. 2518 และต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในคดีอาญาโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเข้าทำนาพิพาทโดยจำเลยถือว่าที่นาพิพาทเป็นของจำเลยเองแล้ว จำเลยจึงกลับเข้าทำนาในที่พิพาทในปี พ.ศ. 2519 ต่อไปตามเดิม นั้น ถือได้ว่าเป็นเหตุอันมีสภาพเป็นเหตุชั่วคราวมาขัดขวางมิให้จำเลยยึดถือที่พิพาทในระหว่างจำเลยถูกฟ้องคดีอาญา การครอบครองของจำเลยจึงไม่สิ้นสุดลง ทั้งนี้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377
พิพากษายืน