คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประธานกรรมการบริษัทจำกัด ไปทำสัญญาแทนบริษัทโดยมิได้ประทับตราตามข้อบังคับ ถ้าบริษัทได้นำเอาสัญญานั้นมาใช้เป็นประโยชน์ในการดำเนินกิจการของตน ย่อมถือว่าบริษัทได้ให้สัตยาบันและมีผลผูกพันบริษัทแล้ว บริษัทจะปฏิเสธไม่รับผิด และขอให้เพิกถอนสัญญาดังกล่าวไม่ได้

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยตกลงขายที่ดินให้แก่โจทก์เป็นเงิน 447,250 บาท โดยให้โจทก์ผ่อนชำระราคาเดือนละไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท จนกว่าจะครบราคา แล้วจำเลยจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ โจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลยไปแล้ว 120,000 บาท ต่อมาจำเลยมีเจตนาไม่สุจริตพยายามบิดเบือนหลีกเลี่ยงข้อตกลง และใช้อุบายบีบบังคับให้นายประสารประธานกรรมการบริษัทโจทก์หลงเชื่อ และยอมเข้าทำหนังสือสัญญาต่อท้ายสัญญาเดิม ทำให้โจทก์เสียเปรียบ จึงขอให้ศาลสั่งเพิกถอนสัญญาต่อท้ายดังกล่าวเสีย

จำเลยให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งว่าโจทก์ทำผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย 27,512.50 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่จำเลย

ศาลชั้นต้นเห็นว่า สัญญาที่ทำต่อท้ายสัญญาเดิม ทำขึ้นโดยชอบมีผลผูกพันโจทก์ส่วนที่จำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายนั้นเห็นว่า จำเลยได้เบี้ยปรับเป็นจำนวนมากแล้ว ไม่ควรให้ค่าเสียหายอีกพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งของจำเลย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาว่านายประสารลงชื่อโดยมิได้ประทับตราของบริษัท ไม่มีผลผูกพันโจทก์นั้น นายประสารไปทำสัญญากับจำเลยในฐานะประธานกรรมการจัดการของบริษัทโจทก์ และบริษัทโจทก์ได้รับประโยชน์ตามที่นายประสารไปทำมา จำเลยจึงมิได้บอกเลิกสัญญาและรับทรัพย์เงินที่โจทก์ผ่อนส่ง ในลำดับต่อมาโจทก์ก็ได้ถือเอาประโยชน์จากการที่นายประสารไปทำมาและนำเอกสารสัญญานั้นมาใช้เป็นประโยชน์ในการดำเนินกิจการของโจทก์ด้วย จึงถือได้ว่าบริษัทโจทก์ได้ให้สัตยาบันตามสัญญาที่นายประสารไปทำกับจำเลยแล้วและมีผลผูกพันโจทก์ โจทก์จะปฏิเสธไม่รับผิดชอบและขอให้เพิกถอนสัญญาดังกล่าวหาได้ไม่ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์

Share