คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1105/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อน โจทก์มีภาพถ่ายเป็นวัตถุพยาน จะฟังว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบย่อมไม่ได้ เพราะศาลชั้นต้นมิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัย ถ้าหยิบยกภาพถ่ายขึ้นพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าจำเลยใช้ห้องพิพาทประกอบการค้า โดยโจทก์มิได้อ้างว่าศาลล่างฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากพยานหลักฐานในสำนวน หรือผิดต่อบทกฎหมายแต่อยางใด เช่นนี้ถือว่าเป็นฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่าศาลล่างไม่ฟังข้อเท็จจริงตามที่ควรจะฟัง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากสถานที่เช่า จำเลยให้การว่าเช่าเพื่ออยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน ฯ
ศาลชั้นต้นฟังว่า มีเศษเหล็กและเศษสังกะสีเก็บอยู่ในห้องพิพาท แต่โจทก์ไม่มีพยานนำสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยได้ใช้ห้องพิพาทนี้ทำการค้า และการที่จำเลยเช่าห้องแล้วย่อมมีสิทธินำสิ่งของมาเก็บได้ และใช้ทำสิ่งของขายเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการประกอบการยังชีพ มิใช่ประกอบการค้าเป็นส่วนใหญ่ จึงฟังว่าจำเลยเช่าห้องพิพาทอยู่อาศัยเป็นเคหะควบคุม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่าห้องพิพาทเป็นเคหะหรือไม่ โดยกล่าวว่าศาลชั้นต้นไม่หยิบยกภาพถ่ายพยานเอกสารของโจทก์ขึ้นพิจารณา หากพิจารณาตามภาพถ่ายแล้วจะเห็นได้ว่าจำเลยใช้ห้องพิพาทประกอบการค้า ไม่เป็นเคหะที่ได้รับความคุ้มครอง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีนี้อุทธรณ์ได้แต่ปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาแล้วเห็นว่า จำเลยได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัย แม้จะมีอุปกรณ์เครื่องจักรกลและเศษเหล็กต่าง ๆ เก็บไว้ด้วย เมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยได้ทำการค้าเป็นปกติธุระแล้ว จะฟังว่าจำเลยทำการค้าหาได้ไม่ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ห้องพิพาทเป็นเคหะหรือไม่ โดยกล่าวว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อน เพราะโจทก์มีภาพถ่ายเป็นวัตถุพยาน จะฟังว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบย่อมไม่ได้ เพราะศาลชั้นต้นมิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัย ถ้าหยิบยกภาพถ่ายขึ้นพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าจำเลยใช้ห้องพิพาทประกอบการค้าเป็นปกติธุระ
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มิได้อ้างว่าศาลล่างฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากพยานหลักฐานในสำนวนหรือผิดต่อบทกฎหมายแต่อย่างใด คงอ้างเพียงว่าไม่หยิบยกภาพถ่ายขึ้นพิจารณา หรือนัยหนึ่งควรฟังภาพถ่ายพยานเอกสารของโจทก์เท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลจะฟังข้อเท็จจริงอย่างไรนั้น เป็นเรื่องของศาลจะพิจารณา และการที่ศาลชั้นต้นกล่าวไว้ว่าโจทก์ไม่มีพยานนำสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยได้ใช้ห้องพิพาททำการค้านั้น จะฟังว่าศาลชั้นต้นไม่ได้หยิบยกภาพถ่ายขึ้นพิจารณาก็ยังไม่ถนัด อาจเป็นเรื่องที่ศาลหยิบยกขึ้นพิจารณาแล้ว แต่ยังไม่พอให้ศาลเห็นว่าจำเลยได้ใช้ห้องพิพาททำการค้าก็เป็นได้ จึงเห็นว่าฎีกาของโจทก์ในข้อนี้เป็นฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่าศาลล่างไม่ฟังข้อเท็จจริงตามที่ควรจะฟัง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์ก็ฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังมา ไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในข้อนี้แต่อย่างใด ฉะนั้น ข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฎีกาจึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ได้ว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๙
พิพากษายืน

Share