แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การประกาศใช้กฎข้อบังคับวางระเบียบวิธีการจัดการรักษาป่าเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบ เมื่อโจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้องก็ไม่มีประเด็นที่โจทก์จะนำสืบในข้อนี้ คดีเช่นนี้ศาลต้องยกฟ้อง
กล่าวในฟ้องว่า จำเลยตัดไม้ประเภทหวงห้ามชะนิดที่ 2 ที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่เสียค่าภาคหลวงนั้นยังไม่มีข้อความที่บุคคลธรรมดาจะเข้าใจได้ว่ามีการประกาศใช้กฎข้อบังคับนี้แล้ว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกับพวกและใช้ผู้อื่นตัดฟังชักลากไม้ประเภทหวงห้าม และไม้นอกประเภทหวงห้ามในเขตต์ตำบลกำแพงเพ็ชร์ อำเภอรัตน์ภูมิ จังหวัดสงขลา โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานและยังมิได้เสียค่าภาคหลวง ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.รักษาป่า ๒๔๕๖ ม.๔ กฎข้อบังคับวางระเบียบวิธีจัดการรักษาป่า ข้อ ๖,๑๖
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยเมื่อลดแล้วคงเหลือโทษจำคุก ๓ เดือน แต่ให้รอการลงอาญาไว้และปรับ ๕๐๐ บาท
ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยศาลอุทธรณ์ว่าประกาศสมุหเทศาภิบาลให้ใช้กฎข้อบังคับวางระเบียบวิธีจัดการรักษาป่า เป็นข้อเท็จจริงอันสำคัญที่โจทก์จะต้องกล่าวบรรยายให้ปรากฎในฟ้องเมื่อโจทก์ไม่กล่าวให้ปรากฎในฟ้อง ก็ไม่มีประเด็นที่โจทก์จะนำสืบในข้อนี้ คดีจึงยังไม่ได้ความว่าได้มีการประกาศใช้กฎข้อบังคับนี้ให้ราษฎรทราบล่วงหน้าแล้ว ๓ เดือน การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นผิด และที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยตัดฟันชักลากไม้หวงห้ามชะนิดที่ ๒ ที่ ๓ โดยมิได้รับอนุญาตและไม่เสียค่าภาคหลวงนั้น ยังไม่มีข้อความที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้ว่าฟ้องโจทก์ได้กล่าวว่ามีการประกาศใช้กฎข้อบังคับแล้ว และแม้จำเลยมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นโต้เถียงในชั้นอุทธรณ์ก็ตาม เมื่อโจทก์ไม่กล่าวข้อนี้ให้ปรากฎในฟ้อง ศาลอุทธรณ์จึงสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพะยานฟังข้อเท็จจริงไม่ได้ จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์