คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1524/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในต้นเงิน 133,186.90 บาท ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2545 ซึ่งไม่ตรงกับที่โจทก์ขอโดยไม่ให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาด้วยวาจาเพราะดำเนินคดีอย่างคดีมโนสาเร่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 141 วรรคท้าย 194,196 เนื้อหาของคำพิพากษาจึงมีเพียงให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์และรับผิดค่าฤชาธรรมเนียมเท่านั้น แต่การที่โจทก์นำสืบข้อเท็จจริงตรงตามคำฟ้องโดยศาลชั้นต้นมิได้รับฟังข้อเท็จจริงแตกต่างจากทางนำสืบของโจทก์ทั้งในคำพิพากษาก็ระบุจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดไม่เกิน 48,159.19 บาท สอดคล้องกับทางนำสืบของโจทก์ จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยเห็นด้วยกับทางนำสืบของโจทก์ทุกประการ เพียงแต่เขียนคำพิพากษาตามรูปแบบของคำพิพากษาด้วยวาจาระบุวันเดือนปีที่คิดดอกเบี้ยผิดพลาดไปจากข้อวินิจฉัย การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขวันเดือนปีที่คิดดอกเบี้ยเป็นวันที่ 29 ตุลาคม 2541 ให้ถูกต้อง จึงเป็นกรณีขอแก้ไขข้อผิดหลงเล็กน้อยตามมาตรา 143 วรรคหนึ่ง มิใช่เป็นการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ชอบที่ศาลชั้นต้นจะแก้ไขข้อผิดหลงเล็กน้อยนั้นได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 133,186.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 มกราคม 2545 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 48,159.19 บาท หากชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 4222 ตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้บังคับคดีจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยจนกว่าจะชำระครบถ้วนกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยชำระหนี้แก่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2541 โจทก์ซึ่งรับโอนสิทธิจากธนาคารดังกล่าวจึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยนับแต่วันดังกล่าว จึงขอให้แก้ไขคำพิพากษาเป็นให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2541
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญญาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาตามที่โจทก์ขอหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 140,000 บาท แต่จำเลยมิได้ผ่อนชำระตรงตามงวดที่ตกลงไว้ในสัญญาโดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2541 จำนวน 2,000 บาท ในวันดังกล่าวจำเลยคงค้างชำระต้นเงิน 133,186.90 บาท และดอกเบี้ย 13,686.49 บาท ต่อมาจำเลยได้รับสภาพหนี้โดยทำสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับโจทก์ซึ่งรับโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวมาจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) แต่จำเลยผิดเงื่อนไขการชำระหนี้อีกโดยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2545 ในวันดังกล่าวจำเลยคงค้างชำระต้นเงิน 133,186.90 บาท และดอกเบี้ย 35,989.97 บาท โจทก์คำนวณดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวตลอดมาจนถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย 48,159.19 บาท จึงขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยรวม 181,346.09 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 133,186.90 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยยื่นคำให้การแต่ขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นจึงพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 133,186.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 มกราคม 2545 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 48,159.19 บาท หากชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้บังคับคดีจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยจนกว่าจะชำระครบถ้วน ซึ่งเมื่อพิจารณาคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนดอกเบี้ยปรากฏว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในต้นเงินที่ค้างชำระ 133,186.90 บาท ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2545 ซึ่งไม่ตรงกับที่โจทก์ขอโดยไม่ให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเนื่องจากคดีนี้ศาลชั้นต้นมีอำนาจพิพากษาคดีได้ด้วยวาจาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141 วรรคท้าย 194,196 เนื้อหาของคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงมีเพียงให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์และรับผิดค่าฤชาธรรมเนียมเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าคดีนี้โจทก์นำพยานเข้าสืบฝ่ายเดียวและสืบข้อเท็จจริงตรงตามที่กล่าวอ้างในคำฟ้อง และไม่ปรากฏข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่ารับฟังแตกต่างจากทางนำสืบของโจทก์ทั้งในคำพิพากษาก็ระบุจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดไม่เกิน 48,159.19 บาท สอดคล้องกับทางนำสืบของโจทก์ กรณีจึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยเห็นด้วยกับทางนำสืบของโจทก์ทุกประการเพียงแต่เขียนคำพิพากษาออกมาตามรูปแบบของคำพิพากษาด้วยวาจาระบุวันเดือนปีที่คิดดอกเบี้ยผิดพลาดไปจากข้อวินิจฉัยซึ่งเห็นด้วยกับคำฟ้อง การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขวันเดือนปีที่คิดดอกเบี้ยจากวันที่ 25 มกราคม 2545 เป็นวันที่ 29 ตุลาคม 2541 ให้ถูกต้องตรงกับทางนำสืบและคำฟ้อง จึงเป็นกรณีขอแก้ไขข้อผิดหลงเล็กน้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 วรรคหนึ่ง มิใช่เป็นการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ชอบที่ศาลชั้นต้นจะแก้ไขข้อผิดหลงเล็กน้อยนั้นได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาต้องกันมาให้ยกคำร้องของโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 133,186.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share