แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเอาความอันเป็นเท็จมาฟ้องโจทก์เป็นจำเลยที่ 1 และนาง ป. เป็นจำเลยที่ 2 แต่ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำเลยยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นอนุญาต ดังนั้น เมื่อจำเลยเอาความเท็จมาฟ้องคดีโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายและความผิดของจำเลยย่อมเกิดขึ้นทันทีที่จำเลยฟ้องคดี แม้จำเลยที่ 2 ในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์จะให้การรับสารภาพก็หาใช่ว่าโจทก์มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 อันมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยดังข้อฎีกาของจำเลยไม่
บทบัญญัติตาม ป.อ. มาตรา 176 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการบรรเทาโทษให้แก่ผู้กระทำความผิด ดังนั้น เมื่อจำเลยถอนฟ้องในคดีอาญาที่เอาความอันเป็นเท็จฟ้องโจทก์ก่อนมีคำพิพากษาย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ลุแก่โทษต่อศาลแล้ว ควรได้รับการบรรเทาโทษตามบทบัญญัตินั้น ทั้งกฎหมายหาได้บัญญัติว่าจำเลยต้องให้การรับสารภาพจึงจะได้รับการบรรเทาโทษ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 จำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2548 จำเลยเอาความอันเป็นเท็จฟ้องโจทก์และนางปรมาภรณ์ น้องจำเลย ต่อศาลชั้นต้นข้อหาปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1766/2548 ของศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ 27 ธันวาคม 2549 ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำเลยยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าว ศาลชั้นต้นอนุญาต มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการแรกว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ โดยจำเลยอ้างว่า จำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1766/2548 ของศาลชั้นต้น ให้การรับสารภาพมีผลเท่ากับว่าโจทก์มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดตามที่จำเลยได้ยื่นฟ้องไว้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) เห็นว่า เมื่อจำเลยเอาความเท็จมาฟ้องคดีโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายโจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายและความผิดของจำเลยย่อมเกิดขึ้นทันทีที่จำเลยฟ้องคดี แม้จำเลยที่ 2 ในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์จะให้การรับสารภาพ ก็หาใช่ว่าโจทก์มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 อันมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยดังข้อฎีกาของจำเลยไม่ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการสุดท้ายว่า การที่จำเลยถอนฟ้องในคดีอาญาที่เอาความอันเป็นเท็จฟ้องโจทก์เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้หรือลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 176 หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 176 บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา 175 แล้วลุแก่โทษต่อศาล และขอถอนฟ้องหรือแก้ฟ้องก่อนมีคำพิพากษา ให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้หรือศาลจะไม่ลงโทษเลยก็ได้” บทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการบรรเทาโทษให้แก่ผู้กระทำความผิด ดังนี้ เมื่อจำเลยถอนฟ้องในคดีอาญาที่เอาความอันเป็นเท็จฟ้องโจทก์ก่อนมีคำพิพากษาย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ลุแก่โทษต่อศาลแล้ว ควรได้รับการบรรเทาโทษตามบทบัญญัตินั้น ทั้งกฎหมายหาได้บัญญัติว่าจำเลยต้องให้การรับสารภาพจึงจะได้รับการบรรเทาโทษ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3