แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลถูกแทงระหว่างต่อสู้กับจำเลยและ ศ. ในซอยเกิดเหตุ โดย ศ. เพียงคนเดียวมีอาวุธมีด จึงเชื่อว่า ศ. เป็นคนแทงผู้ตาย ส่วนจำเลยซึ่งเข้าช่วย ศ. ร่วมชกต่อยผู้ตายและวิ่งไล่ตามผู้ตายไปกับ ศ. โดยไม่ได้ร่วมทำร้ายผู้ตายอย่างใดอีก ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีอาวุธหรือมีสาเหตุโกรธเคืองร้ายแรงประการใดกับผู้ตายมาก่อนจนถึงกับจะต้องร่วมกับ ศ. ฆ่าผู้ตาย การที่ ศ. ใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายโดยเจตนาฆ่าจึงเป็นการกระทำของ ศ. แต่โดยลำพัง จำเลยคงเป็นเพียงแต่ร่วมกับ ศ. ทำร้ายผู้ตายเท่านั้น แต่การร่วมกันทำร้ายมีผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคแรก แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตาม ป.อ. มาตรา 288 แต่ความผิดดังกล่าวย่อมรวมความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคแรก อยู่ด้วย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83, 58 และบวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีดังกล่าวเข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 ลงโทษจำคุก 20 ปี คำให้การชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนและข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 15 ปี และบวกโทษจำคุก 9 เดือน ที่ศาลรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7700/2543 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 รวมเป็นจำคุก 15 ปี 9 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะนายตุ๋ย เสือคำรณ ผู้ตายและนายเฉลียว ก้อนทอง เดินอยู่ในซอยทางเข้าหมู่บ้านปรีชาเพื่อกลับบ้าน ผู้ตายซึ่งเมาสุราเดินเซเข้าไปหารถจักรยานยนต์ที่นายศักดิ์ชัย ทองนิยม ขับตามมาเป็นเหตุให้ต้องหยุดรถและเกิดทะเลาะกันโดยนายศักดิ์ชัยถือมีด 1 เล่ม เฉพาะใบมีดยาวประมาณ 6 นิ้ว เป็นอาวุธ ระหว่างนั้นจำเลยซึ่งเป็นเพื่อนบ้านนายศักดิ์ชัยขี่รถจักรยานผ่านมาได้เข้าช่วยนายศักดิ์ชัยโดยจำเลยร่วมชกต่อยด้วย ผู้ตายและนายเฉลียววิ่งหนีไปทางปากซอยโดยจำเลยและนายศักดิ์ชัยถืออาวุธมีดวิ่งไล่ตาม ก่อนถึงปากซอยซึ่งเป็นซอยแคบมีรถยนต์กระบะคันหนึ่งแล่นสวนมา นายเฉลียวจึงกระโดดเหยียบกระโปรงรถยนต์กระบะปีนข้ามกำแพงรั้วออกไปได้ สักครู่ก็ปีนกำแพงรั้วกลับมา พบผู้ตายนอนคว่ำอยู่บนถนนหน้ารถยนต์กระบะคันดังกล่าว ผู้ตายมีบาดแผลถูกแทงที่แขนขวา 3 แผล หน้าอกซ้ายใต้ราวนมกับสีข้างซ้ายรวม 3 แผล และบริเวณหน้าอกใกล้ราวนมซ้ายลึกทะลุเข้าหัวใจเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายในวันเกิดเหตุตามรายงานการตรวจศพเอกสารหมาย จ.12 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาด้วยหรือไม่ เห็นว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลถูกแทงระหว่างต่อสู้กับจำเลยและนายศักดิ์ชัยในซอยเกิดเหตุ โดยนายศักดิ์ชัยเพียงคนเดียวมีอาวุธมีด จึงน่าเชื่อว่านายศักดิ์ชัยเป็นคนแทงผู้ตาย ส่วนจำเลยซึ่งเข้าช่วยนายศักดิ์ชัยโดยร่วมชกต่อยผู้ตายและวิ่งไล่ตามผู้ตายไปกับนายศักดิ์ชัย แต่ก็ไม่ได้ความชัดเจนว่าจำเลยได้ร่วมทำร้ายผู้ตายอย่างใดอีก ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีอาวุธหรือมีสาเหตุโกรธเคืองร้ายแรงประการใดกับผู้ตายมาก่อนจนถึงกับจะต้องร่วมกับนายศักดิ์ชัยฆ่าผู้ตาย การที่นายศักดิ์ชัยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า จึงเป็นการกระทำของนายศักดิ์ชัยแต่โดยลำพัง พฤติการณ์ของจำเลยคงเป็นเพียงแต่ร่วมกับนายศักดิ์ชัยทำร้ายผู้ตายเท่านั้น แต่การร่วมกันทำร้ายมีผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก คดีนี้แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 แต่ความผิดดังกล่าวย่อมรวมความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก อยู่ด้วย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83 จำคุก 3 ปี เมื่อบวกโทษที่ศาลรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7700/2543 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 แล้ว รวมจำคุก 3 ปี 9 เดือน