คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1519/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ธนาคารโจทก์ประกอบธุรกิจในการให้บริการแก่บุคคลทั่วไปในรูปบัตรเครดิต โดยโจทก์ออกบัตรให้แก่ลูกค้าที่สมัครเป็นสมาชิกของโจทก์ เมื่อเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์แล้วสามารถนำบัตรไปซื้อสินค้าจากร้านค้าที่มีข้อตกลงรับบัตรของโจทก์โดยสมาชิกไม่ต้องชำระราคาสินค้าเป็นเงินสดแต่โจทก์จะเป็นผู้ออกเงินสำรองชำระค่าสินค้าให้แก่ร้านค้าไปก่อนตามที่ร้านค้าได้ส่งใบบันทึกการขายมาเรียกเก็บเงินจากโจทก์ จากนั้นโจทก์จึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังและสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ยังสามารถนำบัตรเครดิตดังกล่าวไปถอนเงินสดจากเครื่องเบิกถอนเงินอีกภายหลังตามจำนวนที่โจทก์ได้แจ้งให้สมาชิกทราบในใบแจ้งยอดบัญชีในแต่ละงวดหากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่ระบุไว้สมาชิกบัตรดังกล่าวจะต้องชำระเบี้ยปรับและดอกเบี้ยตามที่ตกลงไว้กับโจทก์ การให้บริการแก่สมาชิกบัตรของโจทก์ดังกล่าวโจทก์เรียกเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมสำหรับบัตรเครดิตจากสมาชิกด้วย ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจโดยรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกและการที่โจทก์ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินคืนจากสมาชิกในภายหลังนั้นก็เป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไป จึงเป็นกรณีต้องด้วยบทบัญญัติในมาตรา 193/34(7) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งการเรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปตามบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้มีอายุความ 2 ปี จำเลยนำบัตรเครดิตไปใช้ครั้งสุดท้ายในวันที่ 17 มกราคม2536 โจทก์ส่งใบแจ้งยอดบัญชีเรียกเก็บไปยังจำเลยแต่จำเลยไม่ชำระและโจทก์ได้แจ้งยกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรเครดิตตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2536 แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่9 พฤศจิกายน 2538 พ้นกำหนด 2 ปีแล้ว สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบธุรกิจให้บริการแก่ลูกค้าโดยออกบัตรกรุงศรี-วีซ่า เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2533 จำเลยสมัครเป็นสมาชิกบัตรกรุงศรี-วีซ่า ของโจทก์ จำเลยนำบัตรดังกล่าวไปใช้ซื้อสินค้า บริการ และเบิกเงินสดล่วงหน้า โจทก์ได้ทดรองจ่ายเงินแทนไป และเรียกเก็บจากจำเลยจำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงคิดเบี้ยปรับผิดสัญญาร้อยละ 1 ต่อเดือน และคิดดอกเบี้ยร้อยละ1.5 ต่อเดือน ของจำนวนหนี้ที่ค้างชำระ ยอดหนี้คิดถึงวันที่15 เมษายน 2536 จำเลยเป็นหนี้ค่าสินค้า บริการ เบิกเงินสดค่าธรรมเนียม 26,907 บาท เบี้ยปรับผิดสัญญากับดอกเบี้ยจำนวน2,048.58 บาท ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 57,36 บาท โจทก์แจ้งยกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรของจำเลยตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2536ดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 16 เมษายน 2536 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน12,446.51 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 41,459.45 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 26,907 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ใช้สิทธิตามข้อสัญญาไม่เป็นธรรมเอาเปรียบผู้ใช้บริการบัตรเครดิต โจทก์ใช้สิทธิฟ้องเมื่อเวลาผ่านไป 2 ปีเศษ คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงและมิได้ทวงถาม เหตุเกิดที่จังหวัดพิษณุโลก โจทก์ฟ้องคดีนอกเขตศาล จำเลยมิได้เป็นหนี้ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง หากเป็นหนี้จริงก็มีจำนวนไม่เกิน 26,000 บาทหลังสัญญาเลิกกันโจทก์คงคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีเท่านั้น และไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น เบี้ยปรับหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ อีก คำฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี แล้วหรือไม่ปัญหาดังกล่าวปรากฏจากคำฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ประกอบธุรกิจในการให้บริการแก่บุคคลทั่วไปในรูปบัตรเครดิตชื่อว่าบัตรกรุงศรี-วีซ่า โดยโจทก์ออกบัตรให้แก่ลูกค้าที่สมัครเป็นสมาชิกของโจทก์ เมื่อเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์แล้วสามารถนำบัตรไปซื้อสินค้าจากร้านค้าที่มีข้อตกลงรับบัตรของโจทก์โดยสมาชิกไม่ต้องชำระราคาสินค้าเป็นเงินสด แต่โจทก์จะเป็นผู้ออกเงินสำรองชำระค่าสินค้าให้แก่ร้านค้าไปก่อนตามที่ร้านค้าได้ส่งใบบันทึกการขายมาเรียกเก็บเงินจากโจทก์ จากนั้นโจทก์จึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังและสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ยังสามารถนำบัตรเครดิตดังกล่าวไปถอนเงินสดจากเครื่องเบิกถอนเงินอีกภายหลังตามจำนวนที่โจทก์ได้แจ้งให้สมาชิกทราบในใบแจ้งยอดบัญชีในแต่ละงวดหากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่ระบุไว้ สมาชิกบัตรดังกล่าวจะต้องชำระเบี้ยปรับและดอกเบี้ยตามที่ตกลงไว้กับโจทก์จึงเห็นว่าการให้บริการแก่สมาชิกบัตรของโจทก์ดังกล่าว โจทก์เรียกเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมสำหรับบัตรเครดิตจากสมาชิกด้วยถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจโดยรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกและการที่โจทก์ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินคืนจากสมาชิกในภายหลังนั้นก็เป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไป จึงเป็นกรณีต้องด้วยบทบัญญัติในมาตรา 193/34 (7) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งการเรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปตามบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้มีอายุความ 2 ปี ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องฟังได้ว่า จำเลยนำบัตรกรุงศรี-วีซ่า ไปใช้ครั้งสุดท้ายในวันที่17 มกราคม 2536 โจทก์ส่งใบแจ้งยอดบัญชีเรียกเก็บไปยังจำเลยแต่จำเลยไม่ชำระและโจทก์ได้แจ้งยกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรเครดิตตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2536 แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่9 พฤศจิกายน 2538 พ้นกำหนด 2 ปีแล้ว สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share