คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 356/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาขอให้โจทก์ใช้เงินแก่จำเลยจำนวน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จโดยอ้างว่าจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ไปโดยสำคัญผิดจำเลยจึงไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระแก่โจทก์นั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินตามฟ้องแย้งแก่จำเลยเพียง 199,993.23 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องแย้งจำเลยจึงฎีกาขอให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยทั้งสองได้เพียง199,993.23 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาตามฟ้องแย้งจึงไม่เกิน 200,000 บาท ฎีกาของจำเลยสำหรับฟ้องแย้ง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีที่จำเลยฟ้องแย้ง ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาต้องถือตามจำนวนทุนทรัพย์ที่คิดถึงวันฟ้องแย้งเท่านั้น จะนำดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นหลังวันฟ้องมาคิดรวมเป็นทุนทรัพย์เพื่อคิดค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน5,296,322.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 3,053,975.60 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง ให้โจทก์คืนเงินจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ชำระเงินจำนวน199,993.23 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้ง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยทั้งสอง
โจทก์อุทธรณ์ว่า ข้าวเปลือกที่เหลือจำนวน 200 ต้นเศษไม่ได้เสียหายจากน้ำท่วม จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินจำนวน 1,120,967.04 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,120,967.04 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 733,975.60 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องแย้ง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้โจทก์ใช้เงินแก่จำเลยทั้งสองจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จตามฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองโดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ไปโดยสำคัญผิดเนื่องจากข้าวเปลือกจำนวน 200 ตันเศษเสียหายเพราะเหตุสุดวิสัย จำเลยทั้งสองจึงไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระแก่โจทก์นั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินตามฟ้องแย้งแก่จำเลยทั้งสองเพียง 199,993.23 บาทเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องแย้ง จำเลยทั้งสองจึงฎีกาขอให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยทั้งสองได้เพียง 199,993.23 บาททุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นฎีกาตามฟ้องแย้งจึงไม่เกิน 200,000 บาทฎีกาของจำเลยทั้งสองสำหรับฟ้องแย้งจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยที่ศาลชั้นต้นเรียกให้จำเลยทั้งสองชำระค่าขึ้นศาลสำหรับฟ้องแย้งเป็นเงิน 6,657.50 บาท ในทุนทรัพย์266,250 บาท โดยคิดดอกเบี้ยรวมจนถึงวันยื่นฎีกาด้วยนั้นไม่ชอบเพราะทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาต้องถือตามจำนวนทุนทรัพย์ที่คิดถึงวันฟ้องแย้งเท่านั้น จะนำดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นหลังวันฟ้องมาคิดรวมเป็นทุนทรัพย์เพื่อคิดค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาไม่ได้ จึงให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาสำหรับฟ้องแย้งทั้งหมดแก่จำเลยทั้งสอง และศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับคำฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองต้องชำระเงินแก่โจทก์ตามจำนวนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษา
พิพากษายืน

Share