คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1519/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118, 223,227 โดยบรรยายฟ้องว่าได้กระทำความเสียหายแก่นางสงวนนายบรรจัดและกรมที่ดิน มิได้บรรยายว่าได้กระทำความเสียหายแก่สาธารณชนหรือผู้หนึ่งผู้ใดนั้นเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ ผู้หนึ่งผู้ใดในที่นี้ก็คือนางสงวน นายบรรจัดและกรมที่ดินซึ่งได้บรรยายมาในฟ้องแล้ว
ในคดีซึ่งมีโจทก์ร่วมกันสองคนโจทก์คนหนึ่งมาอีกคนหนึ่งขาดนัด ดังนี้ จะยกฟ้องโจทก์เพราะเหตุขาดนัดไม่ได้

ย่อยาว

คดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้บังอาจสมคบกันเอาหนังสือมอบอำนาจปลอมซึ่งมีชื่อนางสงวน (โจทก์ร่วม) เป็นผู้มอบอำนาจให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจจัดการโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินรวม 11 โฉนดให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยทั้งสองรู้อยู่เองว่าเป็นของผู้อื่นเขาปลอมขึ้นโดยตั้งใจให้เป็นหนังสือสำคัญมาใช้ว่าเป็นของแท้ต่อนายบรรจัดผู้ช่วยพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินรวม 11 โฉนดของนางสงวน (โจทก์ร่วม) ให้แก่จำเลยที่ 1 ทั้งนี้ทำให้เกิดการเสียหายแก่นางสงวน (โจทก์ร่วม) และนายบรรจัดและราชการกรมที่ดิน

และเนื่องจากจำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจดังกล่าว จำเลยที่ 1ได้บังอาจเอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จมาแจ้งแก่นายบรรจัดว่า “ข้าพเจ้านางองุ่น วงศ์สาโรจน์ ผู้รับมอบอำนาจขอให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานว่า 3. ผู้มอบอำนาจได้ลงลายมือชื่อต่อหน้าข้าพเจ้าจริง 4. เป็นลายมือของผู้มอบจริง เป็นความประสงค์ของผู้มอบทุกประการ…” ซึ่งความจริงจำเลยที่ 1 มิใช่เป็นผู้รับมอบอำนาจเนื่องจากมิได้มีการมอบอำนาจให้แก่จำเลยที่ 1 แต่อย่างใดผู้มอบซึ่งหมายถึงนางสงวน(โจทก์ร่วม) มิได้ลงลายมือชื่อต่อหน้าจำเลยที่ 1 และลายมือว่า นางสงวนผู้มอบนั้นเป็นลายมือปลอมโดยนางสงวนมิได้เซ็นด้วยตนเองแต่มีบุคคลอื่นเซ็นปลอมลายมือขึ้นทั้งนี้ทำให้เกิดการเสียหายแก่นางสงวน นายบรรจัดและราชการกรมแผนกที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยาขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118, 223, 224, 227, 63, 70, 71

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

แล้วนางสงวนร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการและขอถือคำฟ้องของอัยการเป็นคำฟ้องของนางสงวน ศาลอนุญาต

ศาลชั้นต้นฟังว่านางองุ่นจำเลยได้กระทำผิดจริงดังฟ้องส่วนนางอุไรจำเลยไม่ได้ความว่าได้สมคบกระทำผิดด้วย พิพากษาว่านางองุ่นจำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118, 223, 227 ให้จำคุก 1 ปี คดีเฉพาะตัวนางอุไรยกฟ้อง

นางองุ่นจำเลยอุทธรณ์

นางสงวนโจทก์ร่วมก็อุทธรณ์ขอให้ลงโทษนางองุ่นจำเลยอย่างหนักและลงโทษนางอุไรจำเลยเท่ากับนางองุ่นด้วย

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ยกอุทธรณ์ทั้งสองฝ่าย

นางองุ่นจำเลยฎีกาต่อมาฝ่ายเดียว ซึ่งศาลสั่งรับเป็นฎีกาเฉพาะที่จำเลยว่าเป็นข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยข้อ 2, 3, 4 และ 5 เท่านั้น

ฎีกาของจำเลยข้อ 2 ซึ่งว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า “อาจจะทำให้ผู้อื่นหรือสาธารณชนเสียหาย เป็นฟ้องที่บกพร่องขาดองค์ความผิดตามมาตรา 118”

ฎีกาของจำเลยข้อ 3 ซึ่งว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า “การกระทำของจำเลยอาจจะเกิดเสียหายแก่สาธารณชนหรือแก่บุคคลผู้หนึ่งผู้ใด” ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 227 จึงเป็นฟ้องที่บกพร่อง

ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ความเท็จที่จำเลยนำมาแจ้งแก่เจ้าพนักงานในฎีกาข้อ 2 ของจำเลยและการที่จำเลยเอาหนังสือซึ่งจำเลยรู้อยู่ว่าเป็นหนังสือปลอมมาใช้ว่าเป็นของแท้นั้น โจทก์ได้บรรยายว่าการกระทำดังกล่าวทั้งสองข้อได้ทำให้เกิดการเสียหายแก่นางสงวนนายบรรจัดและกรมที่ดิน สาธารณชนหรือผู้หนึ่งผู้ใดในคดีนี้ก็คือนางสงวน นายบรรจัดและกรมที่ดินซึ่งโจทก์ได้บรรยายมาในฟ้องแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์

ฎีกาจำเลยข้อ 4 นั้นเห็นว่าคดีนี้มีโจทก์ 2 คน แม้โจทก์คนหนึ่งมิได้มาในวันพิจารณา แต่โจทก์อีกคนหนึ่งมา (คือโจทก์ร่วม) ดังนี้จะว่าโจทก์ขาดนัดให้ยกฟ้องโจทก์เสียไม่ได้

ฎีกาของจำเลยข้อ 5 นั้นเห็นว่ากรณีมีเหตุอันสมควรที่จะสั่งให้เลื่อนคดีไป ศาลจึงมีอำนาจสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 179

พิพากษายืน ให้ยกฎีกาของนางองุ่นจำเลย

Share