แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.118,223,227 โดยบรรยายฟ้องว่าได้กระทำความเสียหายแก่นางสงวน นายบรรจัดและกรมที่ดินมิได้บรรยายว่าได้กระทำความเสียหายแก่สาธารณชนหรือผู้หนึ่งผู้ใดนั้นเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ ผู้หนึ่งผู้ใดในที่นี้ก็คือนางสงวน นายบรรจัดและกรมที่ดินซึ่งได้บรรยายมาในฟ้องแล้ว,
ในคดีซึ่งมีโจทก์ร่วมกันสองคนโจทก์คนหนึ่งมาอีกคนหนึ่งขาดนัดดังนี้ จะยกฟ้องโจทก์เพราะเหตุขาดนัดไม่ได้
ย่อยาว
คดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้บังอาจสมควรกันเอาหนังสือมอบอำนาจปลอมซึ่งมีชื่อนางสงวน(โจทก์ร่วม) เป็นผู้มอบอำนาจให้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีอำนาจจัดการโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินรวม ๑๑ โฉนดให้แก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งจำเลยทั้งสองรู้อยู่เองว่าเป็นของผู้อื่นเขาปลอมขึ้นโดยตั้งใจให้เป็นหนังสือสำคัญมาใช้ว่าเป็นของแท้ต่อมานายบรรจัดผู้ช่วยพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อโอนขายกรรมสิทธิที่ดินรวม ๑๑ โฉนดของนางสงวน (โจทก์ร่วม) ให้แก่จำเลยที่ ๑ ทั้งนี้ทำให้เกิดการเสียหายแก่นางสงวน(โจทก์ร่วม) และนายบรรจัดและราชการกรมที่ดิน
และเนื่องจากจำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจดักกล่าว จำเลยที่ ๑ ได้บังอาจเอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จมาแจ้งแก่นายบรรจัดว่า “ข้าพเจ้านางองุ่น วงศ์สาโรจน์ ผู้รับมอบอำนาจขอให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานว่า …๓.ผู้มอบอำนาจได้ลงลายมือชื่อต่อหน้าข้าพเจ้าจริง ๔. เป็นลายมือของผู้มอบจริง เป็นความประสงค์ของผู้มอบทุกประการ…” ซึ่งความจริงจำเลยที่๑ มิใช่เป็นผู้รับมอบอำนาจเนื่องจากมิได้มีการมอบอำนาจให้แก่จำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด ผู้มอบซึ่งหมายถึงนางสงวน(โจทก์ร่วม)มิได้ลงลายมือชื่อต่อหน้าจำเลยที่ ๑ และลายมือว่า นางสงวนผู้มอบนั้นเป็นลายมือปลอมโดยนางสงวนมิได้เซ็นด้วยตนเอง แต่มีบุคคลอื่นเซ็นปลอมลายมือขึ้น” ทั้งนี้ทำให้เกิดการเสียหายแก่นางสงวน นายบรรจัดและราชการกรมแผนกที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยาขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๑๘,๒๒๓,๒๒๔,๒๒๗,๖๓,๗๐,๗๑
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
แล้วนางสงวนร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการและขอถือคำฟ้องของอัยการเป็นคำฟ้องของนางสงวน ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นฟังว่านางองุ่นจำเลยได้กระทำผิดจริงดังฟ้องส่วนนางอุไรจำเลยไม่ได้ความว่าได้สมคบกระทำผิดด้วย พิพากษาว่านางองุ่นจำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๑๘,๒๒๓,๒๒๗ ให้จำคุก ๑ ปี คดีฉะเพาะตัวนางอุไรยกฟ้อง
นางองุ่นจำเลยอุทธรณ์
นางสงวนโจทก์ร่วมก็อุทธรณ์ขอให้ลงโทษนางองุ่นจำเลยอย่างหนัก และลงโทษนางอุไรจำเลยเท่ากับนางองุ่นด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ยกอุทธรณ์ทั้งสองฝ่าย
นางองุ่นจำเลยฎีกาต่อมาฝ่ายเดียว ซึ่งศาลสั่งรับเป็นฎีกาฉะเพาะที่จำเลยว่าเป็นข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยข้อ ๒,๓,๔ และ ๕ เท่านั้น
ฎีกาของจำเลยข้อ ๒ ซึ่งว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า “อาจจะทำให้ผู้อื่นหรือสาธารณชนเสียหาย เป็นฟ้องที่บกพร่องขาดองค์ความผิดตามมาตรา ๑๑๘”
ฎีกาของจำเลยข้อ ๓ ซึ่งว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า “การกระทำของจำเลยอาจจะเกิดเสียหายแก่สาธารณชนหรือแก่บุคคลผู้หนึ่งผู้ใด” ดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๒๒๗ จึงเป็นฟ้องที่บกพร่อง
ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ความเท็จที่จำเลยนำมาแจ้งแก่เจ้าพนักงานในฎีกาข้อ ๒ ของจำเลยและการที่จำเลยเอาหนังสือซึ่งจำเลยรู้อยู่ว่าเป็นหนังสือปลอมมาใช้ว่าเป็นของแท้นั้น โจทก์ได้บรรยายว่าการกระทำดังกล่าวทั้งสองข้อได้ทำให้เกิดการเสียหายแก่นางสงวนนายบรรจัดและกรมที่ดิน สาธารณชนหรือผู้ใดในคดีนี้ก็คือนางสงวน นายบรรจัดและกรมที่ดินซึ่งโจทก์ได้บรรยายมาในฟ้องแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์
ฎีกาจำเลยข้อ ๔ นั้นเห็นว่าคดีนี้มีโจทก์ ๒ คน แม้โจทก์คนหนึ่งมิได้มาในวันพิจารณา แต่โจทก์อีกคนหนึ่งมา(คือโจทก์ร่วม) ดังนี้จะว่าโจทก์ขาดนัดให้ยกฟ้องโจทก์เสียไม่ได้
ฎีกาของจำเลยข้อ ๕ นั้นเห็นว่ากรณีมีเหตุอันสมควรที่จะสั่งให้เลื่อนคดีไป ศาลจึงมีอำนาจสั่งได้ตามป.วิ.อาญามาตรา ๑๗๙
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาของนางองุ่นจำเลย