คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลที่กล่าวในคำขอให้พิจารณาใหม่จะต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้ง เพื่อแสดงว่าตนอาจชนะคดีได้อย่างไร มิใช่กล่าวแต่เพียงว่า คดีของจำเลยมีทางชนะคดีโจทก์ เพราะมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่สนับสนุนคดีของจำเลย โดยไม่มีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายหรือเหตุผลและหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งในคำร้องขอว่าหากพิจารณาใหม่แล้ว ศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ได้พิพากษาไปแล้ว ฉะนั้นคำร้องขอของจำเลยจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 208 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่ศาลจะสั่งให้มีการพิจารณาใหม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ 1 คัน ราคา 500,000 บาท จำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยร่วมกันชำระค่าเช่าซื้อที่ค้าง ฯลฯ

จำเลยทั้งสามให้การว่าไม่ต้องรับผิด ฯลฯ ขอให้ยกฟ้อง

วันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกะประเด็นแล้วสั่งให้จำเลยนำสืบก่อน

วันนัดสืบพยานจำเลย ทนายโจทก์มาศาล ฝ่ายจำเลยไม่มีผู้ใดมาศาลจึงมีคำสั่งว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบและจำเลยขาดนัดพิจารณา ให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียว ครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายโจทก์มาศาล ฝ่ายจำเลยและทนายทราบนัดแล้วไม่มีผู้ใดมา และไม่แจ้งเหตุขัดข้อง เมื่อสืบพยานโจทก์ 1 ปาก แล้วโจทก์ไม่สืบพยานต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในวันเดียวกันนั้นให้จำเลยทั้งสามร่วมกันส่งคืนรถยนต์ในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ ฯลฯ

จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องว่า มิได้จงใจขาดนัดพิจารณา ฯลฯ และจำเลยทั้งสามอ้างว่า คดีของจำเลยมีทางชนะคดีโจทก์เพราะมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่สนับสนุนคดีจำเลยทำให้สัญญาเช่าซื้อตกเป็นโมฆะ หรือจำเลยอาจรับผิดไม่ถึงตามคำพิพากษา

โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า จำเลยจงใจขาดนัดพิจารณา ฯลฯ ขอให้ยกคำร้อง

วันนัดไต่สวนคำร้อง ศาลชั้นต้นเห็นว่าตามคำร้องของจำเลยและคำคัดค้านของโจทก์ คดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดการไต่สวนและนัดฟังคำสั่ง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยจงใจขาดนัดพิจารณา ให้ยกคำร้อง

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลจะต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้ง เพื่อแสดงว่าตนอาจชนะคดีได้อย่างไร มิใช่กล่าวแต่เพียงว่าคดีของจำเลยมีทางชนะคดีโจทก์ เพราะมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่สนับสนุนคดีของจำเลยทำให้สัญญาเช่าซื้อตกเป็นโมฆะ หรือจำเลยอาจรับผิดไม่ถึงตามคำพิพากษาเท่านั้น โดยไม่มีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายหรือเหตุผลและหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งในคำร้องขอว่า หากพิจารณาใหม่แล้ว ศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ได้พิพากษาไปแล้ว ฉะนั้น คำร้องขอของจำเลยจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 208 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ศาลจะสั่งให้มีการพิจารณาใหม่ได้ ฯลฯ

พิพากษายืน

Share