คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 617/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ต่อว่าจำเลยว่า มองหน้าทำไม เป็นตำรวจหรือ ตำรวจไม่สำคัญ จำเลยก็ชักปืนยิงโจทก์คำพูดเช่นนี้ระคายเคืองอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงข่มเหงอย่างร้ายแรงและไม่เป็นธรรมที่จะลดโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2518 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยใช้อาวุธปืนยิงพลหทารเรือวิโรจน์ ลือความดี หนึ่งนัด ถูกที่หน้าท้องทะลุหลังโดยเจตนาฆ่า แต่ไม่บรรลุผล เพราะไม่ถูกอวัยวะสำคัญที่จะทำให้ตายทันที และแพทย์ให้การรักษาได้ทัน เหตุเกิดที่ตำบลมหาชัย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา พลทหารเรือวิโรจน์ ลือความดี ผู้เสียหายร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 จำคุก 10 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายเพราะบันดาลโทสะ พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ประกอบด้วยมาตรา 72 จำคุก 2 ปี ผู้เสียหายกับพวกเป็นฝ่ายก่อเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีความประพฤติเสียหายและได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้ 4 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมิได้ยิงผู้เสียหายเพราะบันดาลโทสะ ขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงน่าเชื่อตามที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่า โจทก์ร่วมได้ต่อว่าจำเลยว่า มองหน้าทำไม เป็นตำรวจหรือ ตำรวจไม่สำคัญจำเลยก็ชักปืนยิงโจทก์ร่วมทันที คำพูดเช่นนี้แม้จะเป็นที่ระคายเคืองแก่บุคคลที่เป็นตำรวจอย่างจำเลยอยู่บ้าง โดยเฉพาะในเมื่อเป็นการพูดต่อหน้าผู้หญิงนักร้องและจำเลยดื่มสุรามาแล้ว ก็ไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ที่จะลงโทษจำเลยให้น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share