คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1516/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งหมดโดยผู้ตายทำพินัยกรรมการยกให้ จำเลยต่อสู้ว่าเป็นของบุตรสาวผู้ตายทั้งหมดและบุตรสาวผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกให้จำเลยครึ่งหนึ่งโจทก์ครึ่งหนึ่ง ถึงแม้จำเลยจะรับรู้สิทธิของโจทก์ว่ามีอยู่ครึ่งหนึ่ง ของที่ดินตามพินัยกรรมก็ตาม ก็ต้องคำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทตามราคาที่ดินทั้งหมด ไม่ใช่มรดกตอนหลัง
เมื่อเจ้ามรดกตาย มรดกย่อมตกทอดแก่ทายาท นั้น ทายาทก็อาจเสียไปซึ่งสิทธิในมรดกได้ตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 1599 วรรคท้าย
เจ้าของที่ดินทำพินัยกรรมยกที่ดินให้วัดโจทก์โดยระบุให้ยายและมารดามีสิทธิเก็บกินตลอดชีวิต เมื่อเจ้าของที่ดินตายแล้ว โจทก์มิได้ใช้สิทธิแก่ที่ดินนี้ประการใด ปล่อยให้มารดาของเจ้ามรดกครอบครองที่ดินและจดทะเบียนโอนรับมรดกเป็นของตนด้วย ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ดังนี้ สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในฐานะผู้รับพินัยกรรมจึงขาดอายุความไปแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 11754 วรรคท้าย ศาลฎีกาประชุมใหญ่มีมติว่า วัดโจทก์หมดสิทธิตามพินัยกรรมแล้ว (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2503)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโจทก์ ๒ แปลงเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดโจทก์โดยนางสาวกฤษณ์ กรศิริ ได้ทำพินัยกรรมยกให้โจทก์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ แล้วนางสาวกฤษณ์ตาย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ในพินัยกรรมให้อำนาจนางลำดวนและนางรวย กรศิริ ผู้เป็นยายและมารดามีสิทธิเก็บกินในที่ดินนี้จนตลอดชีวิต ต่อมานางลำดวนตาย นางรวยใช้สิทธิเก็บกินต่อมาจนตายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ แต่ระหว่างนาวรวยมีชีวิตอยู่ นางรวมได้ขอโอนโฉนดเป็นของนางรวยรับมรดกนางสาวกฤษณ์ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยเป็นหลานและผู้รับมรดกของนางรวยได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์ที่ดิน ๒ แปลงนี้ โดยจะยอมให้เป็นของโจทก์เพียงครึ่งเดียวจึงขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินทั้ง ๒ แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ ให้ถอนชื่อนางรวยออกจากโฉนด ลงชื่อวันโจทก์เป็นเจ้าของต่อไป
จำเลยให้การรับว่า นางสาวกฤษณ์ได้ทำพินัยกรรมจริงและตายเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๙ จริง แต่ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วตั้งแต่นางสาวกฤษณ์ตาย โจทก์มิได้โอนรับมรดกตามพินัยกรรมของโจทก์เป็นเวลานานถึง ๑๐ ปี จนกระทั่งนางรวยได้ขอโอนรับมรดกในฐานะเป็นทายาทของนางสาวกฤษณ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘ โดยโจทก์ไม่คัดค้านอย่างใด จนนางรายตายเป็นเวลาอีก ๒๐ กว่าปี จำเลยได้กรรมสิทธิที่ดินนี้มาตามพินัยกรรมของนางรวยลงวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๔๙๙ ซึ่งทำกันที่วัดโจทก์ โดยโจทก์ก็ทราบดี โจทก์ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องตามพินัยกรรมของนางสาวกฤษณ์ได้อีก และไม่ใช่ที่ธรณีสงฆ์ ยกให้ยกฟ้อง
คู่ความรับกันว่า นางสาวกฤษณ์ได้ทำพินัยกรรมลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๘ จริง และตายปี พ.ศ. ๒๔๖๙ จริง โดยโจทก์ไม่ได้จดทะเบียนรับโอนมาเป็นของโจทก์ ต่อมา พ.ศ. ๒๔๗๘ นางรวยได้จดทะเบียนใส่ชื่อนางรวยจริง แต่โจทก์ไม่ทราบและพินัยกรรมของนางรวยตายแล้ว
โจทก์แถลงไม่สืบพยาน จำเลยจะขอสืบว่าเมื่อนางรวยจดทะเบียนรับโอนมรดกและเมื่อทำพินัยกรรมให้จำเลยนั้น เจ้าอาวาสวัดโจทก์ได้ทราบ โจทก์ว่า ถ้าให้จำเลยสืบก็ขอสืบแก้
ศาลแพ่งสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษาว่า ที่ดินรายนี้นางสาวกฤษณ์ได้ทำพินัยกรรมถวายวัดโจทก์โดยชอบแล้ว ย่อมตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัด เมื่อนางสาวกฤษณ์ ตายโดยไม่ต้องจดทะเบียนการโอน และผู้ใดจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ไม่ได้บอกจากโดยกฎหมายเท่านั้น ตาม พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๒๑ มาตรา ๗ หรือ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔๑ นางรวยไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกที่ธรณีสงฆ์ให้จำเลยได้ ให้ถอนชื่อนางรวยออกจากโฉนดและห้ามจำเลยเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาคัดค้านค่าขึ้นศาล และอายุความสิทธิเรียกร้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เรื่องค่าขึ้นศาลที่จำเลยว่าควรเสียเพียงครึ่งหนึ่งของราคาที่ดิน เพราะจำเลยยอมรับรู้สิทธิของโจทก์ฟ้องว่า ดินพิพาททั้งหมดเป็นของโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่า เป็นของนางรวยทั้งหมดจึงต้องจำนวนราคาที่ดินทั้งหมดเป็นทุนทรัพย์ ไม่ใช่เพียงครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องมรดกของนางรวย เพราะพิพาทกันถึงมรดกของนางสาวกฤษณ์ ไม่ใช่มรดกนางรวย
ส่วนปัญหาอายุความนั้น มีข้อต้องวินิจฉัยว่า ที่พิพาทได้ตกมาเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดโจทก์แล้วหรือยัง ศาลฎีกาเห็นว่า หลักที่ว่า เมื่อเจ้ามรดกตายมรดกทอดแก่ทายาทนั้น ทายาทก็อาจเสียไปซึ่งสิทธิในมรดกได้โดยบทบัญญัติของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๙๙ วรรคท้ายคดีนี้โจทก์ไม่สืบพยานและไม่ได้รับกันว่า โจทก์ได้เคยใช้สิทธิแก่ที่ดินมรดกนี้ประการใดและโจทก์ไม่ได้แสดงว่า นางลำดวนกับนางรวยได้ครอบครอง ที่ดินไว้แทนโจทก์อย่างจำเลย นางรวย เป็นมรดกหรือทายาทโดยธรรมของนางสาวกฤษณ์ และได้ครอบที่มรดกนี้มาตั้งแต่นางสาวกฤษณ์ ตาย และยังได้แก้ทะเบียนโอนโฉนดรับมรดกเป็นของนางรวยด้วย ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว สิทธิเรียกร้องของโจทก์ฐานะผู้รับพินัยกรรมของนางสาวกฤษณ์จึงขาดอายุความไปด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๗๕๔ วรรคท้าย จำเลยย่อมยกอายุความอันเป็นประโยชน์แก่นางรวยซึ่งเป็นทายาทของนางสาวกฤษณ์ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องภายในอายุความ ศาลฎีกาประชุมใหญ่มีมติว่า วัดโจทก์หมดสิทธิในพินัยกรรมของนางสาวกฤษณ์ แล้ว
จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share