คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1512/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสและได้ร่วมทำมาหากินในการประกอบการค้า ทรัพย์สินที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้นย่อมเป็นทรัพย์สินที่โจทก์จำเลยทำมาหาได้มาด้วยกัน ฉะนั้น โจทก์จำเลยจึงต่างมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในทรัพย์เหล่านั้น การแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวจึงต้องแบ่งให้โจทก์จำเลยเท่า ๆ กัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์จำเลยอยู่กินเป็นสามีภรรยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส และได้ร่วมกันประกอบการค้า มีรายได้และเกิดทรัพย์สินขึ้นหลายอย่างดังที่ระบุไว้ในฟ้อง จึงขอแบ่งรายได้และทรัพย์สินตามฟ้องครึ่งหนึ่งให้โจทก์นั้น เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว และจำเลยก็ให้การต่อสู้มาทุกประเด็น แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาอย่างแจ้งชัดฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
สิทธิการเช่าเป็นทรัพย์สิน และต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดกฎหมายและสัญญาซึ่งผู้เช่าจะโอนโดยผู้เช่าไม่ยินยอมไม่ได้ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์จำเลยมีสิทธิในการเช่าร่วมกัน ก็ย่อมจะแบ่งสิทธินั้นกันได้ ไม่ขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยอยู่กินเป็นสามีภรรยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรสและได้ร่วมกันประกอบการค้า มีรายได้และเกิดทรัพย์สินขึ้นหลายอย่างขอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่ง

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้อยู่กินเป็นสามีภรรยากับโจทก์ โจทก์ไม่เคยทำมาหากินร่วมกับจำเลย ทรัพย์สินต่าง ๆ ซึ่งโจทก์บรรยายมาในฟ้อง เป็นทรัพย์ส่วนตัวของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิจะได้รับส่วนแบ่ง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 52,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเงินเสร็จ และให้จำเลยชำระเงินรายได้ของร้านเดือนละ 4,000 บาท ให้โจทก์นับแต่เดือนที่ฟ้องไปจนกว่าจะแบ่งกันเสร็จสำหรับทรัพย์ตามฟ้องข้อ 3 จำนวน 19 รายการและสิทธิการเช่าตึกพิพาท ให้จำเลยแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้เอาทรัพย์นั้นประมูลระหว่างโจทก์จำเลย ถ้าไม่สามารถประมูลกันได้ ก็ให้ขายทอดตลาดเอาเงินที่ขายได้แบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาทแทนโจทก์ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ตามฟ้องข้อ 3 เพียง 17 รายการ โดยเว้นไม่แบ่งเฉพาะในรายการที่ 17 และ 18 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา และได้ร่วมกันทำมาหากินในการประกอบการค้าที่ร้านราชาเบเกอรี่ ทรัพย์สินที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้นย่อมเป็นทรัพย์สินที่โจทก์จำเลยทำมาหาได้มาด้วยกัน ฉะนั้นโจทก์จำเลยจึงต่างมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในทรัพย์เหล่านั้น การแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวจึงต้องแบ่งให้โจทก์จำเลยเท่า ๆ กัน ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์จำเลยอยู่กินเป็นสามีภรรยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส และได้ร่วมกันประกอบการค้า มีรายได้และเกิดทรัพย์สินขึ้นหลายอย่างดังที่ระบุไว้ในฟ้อง จึงขอแบ่งรายได้และทรัพย์สินตามฟ้องครึ่งหนึ่งให้โจทก์นั้น เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว และจำเลยก็ได้ให้การต่อสู้มาทุกประเด็น แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาอย่างแจ้งชัดแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าสิทธิการเช่าแบ่งไม่ได้และคำพิพากษาศาลชั้นต้นขัดต่อกฎหมาย เพราะสิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว ไม่อาจโอนขายหรือจำหน่ายแบ่งแยก โดยผู้ให้เช่ามิได้ให้ความยินยอม และในคดีนี้ก็ไม่อาจบังคับให้ผู้ให้เช่าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกให้ยินยอมได้ จำเลยจึงไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาได้นั้น เห็นว่า สิทธิการเช่าเป็นทรัพย์สินและต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของกฎหมายและสัญญา ซึ่งผู้เช่าจะโอนโดยผู้ให้เช่าไม่ยินยอมไม่ได้ก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์จำเลยมีสิทธิในการเช่าร่วมกัน ก็ย่อมจะแบ่งสิทธินั้นกันได้ ไม่ขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใด

พิพากษายืน

Share