คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3332/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านนำทรัพย์หลักประกันออกขายทอดตลาดในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 95 จึงเป็นกรณีที่ผู้รับจำนองขอเอาบุริมสิทธิในทรัพย์ที่รับจำนองไว้ไม่เกินกว่าหนี้ที่รับจำนองเท่านั้น หากขายทอดตลาดได้เงินเกินกว่าหนี้จำนอง เงินส่วนที่เกินย่อมตกเข้าแก่กองทรัพย์สินของจำเลยผู้ล้มละลาย แต่ถ้าขายไม่ได้ถึงราคาทรัพย์จำนองหนี้ส่วนที่เหลือก็ตกเป็นพับแก่ผู้รับจำนองไป ฉะนั้นต้องคิดดอกเบี้ยให้ผู้ร้องจนถึงวันขายทอดตลาด เมื่อเป็นการยื่นคำร้องเพื่อขอใช้สิทธิเหนือทรัพย์อันเป็นหลักประกัน มิใช่การยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 91 ประกอบมาตรา 96 จึงไม่ต้องห้ามคิดดอกเบี้ยภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 100

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2546 และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2547 ต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม 2548 ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านว่า จำเลยและนางสิริรัตน์ เป็นหนี้ผู้ร้องในมูลหนี้เบิกเงินเกินบัญชีและหนี้เงินกู้ โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 115301 และ 58631 ตำบลโพธิ์เสด็จ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสิ่งปลูกสร้างประกันหนี้ เป็นเงิน 1,000,000 บาท และ 1,800,000 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด จำเลยและนางสิริรัตน์คงเป็นหนี้ผู้ร้อง 2,761,193.62 บาท ขอให้ผู้คัดค้านยึดทรัพย์จำนองดังกล่าวออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านสอบสวนแล้วเห็นว่าจำเลยและนางสิริรัตน์เป็นหนี้ผู้ร้องตามที่ผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในส่วนบุริมสิทธิ เมื่อผู้ร้องเป็นผู้รับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 115301 และ 58631 ตำบลโพธิ์เสด็จ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้ร้องย่อมมีฐานะเป็นเจ้าหนี้มีประกัน เมื่อปรากฏว่าจำเลยตกลงจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 115301 แก่ผู้ร้องเป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี และจำเลยกับนางสิริรัตน์ตกลงจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 58631 เป็นเงิน 1,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ผู้ร้องจึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันจดทะเบียนจำนองจนถึงวันขายทอดตลาด แต่เนื่องจากผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นเงินเพียง 2,761,193.62 บาท โดยได้คำนวณดอกเบี้ยถึงวันพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเท่านั้น จึงพิจารณาให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ไม่เกินเท่าที่ขอ และปรากฎว่าหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว จำเลยได้นำเงินมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องจำนวน 508,400 บาท จึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันที่ดินโฉนดเลขที่ 115301 ตำบลโพธิ์เสด็จ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี และที่ดินโฉนดเลขที่ 58631 ตำบลโพธิ์เสด็จ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีชื่อจำเลยและนางสิริรัตน์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมเฉพาะส่วนของจำเลยเป็นเงิน 1,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2546 จนถึงวันขายทรัพย์หลักประกัน แต่ไม่เกินจำนวน 2,761,193.62 บาท ตามที่ผู้ร้องขอมา โดยให้กันเงินสุทธิจากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยเข้ากองทรัพย์สินจำนวน 508,400 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้มีประกันย่อมมีสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน เมื่อผู้ร้องได้ใช้สิทธิยื่นคำร้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 95 โดยขอให้ผู้คัดค้านยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด ผู้ร้องชอบที่จะได้รับเงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง โดยคำนวณดอกเบี้ยตามสัญญาจำนองนับจากวันที่จดทะเบียนจำนองถึงวันขายทอดตลาดทรัพย์ กฎหมายมิได้ให้อำนาจผู้คัดค้านสอบสวนในเรื่องหนี้สินอันมีหลักประกันอย่างกรณีเจ้าหนี้ใช้สิทธิขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 96 ทั้งภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยนั้น ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากนางสิริรัตน์ลูกหนี้ร่วมซึ่งไม่ได้ถูกพิทักษ์ทรัพย์แต่อย่างใด การที่ผู้คัดค้านมีคำสั่งให้นำเงินสุทธิจากการขายทอดตลาดเข้ากองทรัพย์สินจำนวน 508,400 บาท จึงไม่ชอบ ขอให้มีคำสั่งแก้ไขคำสั่งผู้คัดค้านให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับเงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองถึงวันที่ได้ขายทอดตลาด โดยไม่นำเงินจากการขายทอดตลาดจำนวน 508,400 บาท เข้ากองทรัพย์สินของจำเลย
ผู้คัดค้านยื่นคัดค้านว่า แม้ผู้ร้องขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้ประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 95 ผู้คัดค้านก็มีอำนาจพิจารณาถึงการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์หลักประกันคือที่ดินโฉนดเลขที่ 115301 และ 58631 ตำบลโพธิ์เสด็จ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และจำนวนหนี้ที่ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามคำร้องว่า ควรดำเนินการกับทรัพย์หลักประกันประการใดที่จะเป็นประโยชน์แก่กองทรัพย์สินของจำเลย เมื่อตามคำร้องเจ้าหนี้แสดงเจตนาขอรับชำระหนี้และถือทุนทรัพย์ในการใช้สิทธิเรียกร้องจากการขายทอดตลาด จำนวน 2,761,053.62 บาท ถือว่าผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้แสดงเจตนาและขอใช้สิทธิเรียกร้องต่อจำเลยตามจำนวนเงินดังกล่าว ซึ่งการแสดงเจตนาของเจ้าหนี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน มีผลใช้บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 149 สำหรับเงินจำนวนนอกจากที่ยื่นคำร้องถือว่าเจ้าหนี้แสดงเจตนาปลดหนี้บางส่วนให้แก่จำเลยตามมาตรา 340 นอกจากนี้หากว่าเจ้าหนี้เห็นว่ายื่นคำร้องโดยระบุจำนวนคลาดเคลื่อน ก็ชอบที่จะยื่นคำร้องขอแก้ไขให้ถูกต้องได้ แต่ก็ไม่ดำเนินการ ในส่วนที่ผู้คัดค้านให้หักเงินจำนวน 508,400 บาท เข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้นั้น ในสำนวนการสอบสวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือคำชี้แจงว่านางสิริรัตน์ เป็นผู้ชำระเงินจำนวนดังกล่าว ตามเอกสารการชำระเงินก็เป็นสำเนาใบเสร็จรับเงิน ไม่มีหลักฐานใบนำฝากเงินที่นางสิริรัตน์ลงลายมือชื่อเป็นผู้ชำระเงินมาแสดง จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะยืนยันว่านางสิริรัตน์เป็นผู้ชำระเงิน แต่เชื่อว่าเป็นเงินของจำเลยที่ชำระแก่ผู้ร้องภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว ที่ผู้คัดค้านมีคำสั่งให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันที่ดินโฉนดเลขที่ 115301 ตำบลโพธิ์เสด็จ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี และที่ดินโฉนดเลขที่ 58631 ตำบลโพธิ์เสด็จ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีชื่อจำเลยและนางสิริรัตน์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมเฉพาะส่วนของจำเลยเป็นเงิน 1,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2546 จนถึงวันขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันแต่ไม่เกินจำนวน 2,761,193.62 บาท ตามที่ผู้ร้องขอมา โดยให้กันเงินสุทธิจากการขายทอดตลาดทรัพย์เข้ากองทรัพย์สินของจำเลยจำนวน 508,400 บาท จึงชอบแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างพิจารณาบริษัทบริหารสินทรัพย์ ที เอส จำกัด ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิแทนผู้ร้อง ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาต
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยแล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องที่ขอให้มีคำสั่งแก้ไขคำสั่งของผู้คัดค้านที่มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้บุริมสิทธิที่มีเหนือทรัพย์จำนอง ของจำเลยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 95 นั้น มิใช่คำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดที่อุทธรณ์ได้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 24 วรรคสอง (1) ถึง (5) จึงต้องห้ามมิให้ผู้ร้องอุทธรณ์ แต่ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องแก้ไขข้อผิดพลาด จึงให้รับพิจารณาอุทธรณ์ของผู้ร้องดังกล่าวตามมาตรา 26 วรรคสี่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความไม่อุทธรณ์โต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2546 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายในวันที่ 29 กันยายน 2547 ต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม 2548 ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านว่า จำเลยและนางสิริรัตน์ เป็นหนี้ผู้ร้องในมูลหนี้เบิกเงินเกินบัญชีและหนี้เงินกู้ โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 115301 และ 58631 ตำบลโพธิ์เสด็จ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้เป็นเงิน 1,000,000 บาท และ 1,800,000 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด จำเลยและนางสิริรัตน์คงเป็นหนี้ผู้ร้อง 2,761,193.62 บาท ขอให้ผู้คัดค้านนำทรัพย์จำนองดังกล่าวออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องตามสำเนาคำร้อง ผู้คัดค้านสอบสวนแล้วเห็นว่า จำเลยและนางสิริรัตน์เป็นหนี้ผู้ร้องตามที่ผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ในส่วนบุริมสิทธิเมื่อผู้ร้องเป็นผู้รับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 115301 และ 58631 ตำบลโพธิ์เสด็จ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้ร้องย่อมมีฐานะเป็นเจ้าหนี้มีประกัน เมื่อปรากฏว่าจำเลยตกลงจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 115301 แก่ผู้ร้อง เป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี และจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 58631 ซึ่งจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมกับนางสิริรัตน์ เป็นเงิน 1,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ผู้ร้องจึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันจดทะเบียนจำนองจนถึงวันขายทอดตลาด แต่เนื่องจากผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นเงินเพียง 2,761,193.62 บาท โดยได้คำนวณดอกเบี้ยถึงวันพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเท่านั้น จึงพิจารณาให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ไม่เกินเท่าที่ขอ และปรากฏว่าหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว จำเลยได้นำเงินมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องจำนวน 508,400 บาท จึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันที่ดินโฉนดเลขที่ 115301 ตำบลโพธิ์เสด็จ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี และที่ดินโฉนดเลขที่ 58631 ตำบลโพธิ์เสด็จ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีชื่อจำเลยและนางสิริรัตน์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมเฉพาะส่วนของจำเลยเป็นเงิน 1,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2546 จนถึงวันขายทรัพย์หลักประกันแต่ไม่เกินจำนวน 2,761,193.62 บาท ตามที่ผู้ร้องขอมา โดยให้กันเงินสุทธิจากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยเข้ากองทรัพย์สินจำนวน 508,400 บาท ตามสำเนาคำสั่ง ที่ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ในมูลหนี้สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี บัญชีเลขที่ 305-1-02368-4 จำนวน 305,300 บาท ตามใบนำฝาก และการ์ดบัญชี มูลหนี้ตามสัญญากู้เงิน บัญชีเลขที่ 0305-003-01015-6 จำนวน 44,500 บาท ตามสำเนาใบเสร็จรับเงิน และการ์ดบัญชี มูลหนี้ตามสัญญากู้เงินบัญชีเลขที่ 0305-003-01014-4 จำนวน 158,600 บาท ตามสำเนาใบเสร็จรับเงิน และการ์ดบัญชี
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องประการแรกว่า ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 95 โดยคิดดอกเบี้ยจนถึงวันขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันหรือไม่ เห็นว่า สิทธิของเจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 95 สามารถดำเนินการโดยไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อผู้คัดค้าน เพียงแจ้งให้ผู้คัดค้านทราบว่าจะถือเอาสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันและจะต้องยอมให้ผู้คัดค้านเข้าตรวจดูทรัพย์สินเท่านั้น หรือเจ้าหนี้ใช้สิทธิฟ้องผู้คัดค้านเพื่อบังคับคดีแก่ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตามมาตรา 110 วรรคสาม ก็ได้ เมื่อผู้ร้องใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านนำทรัพย์หลักประกันออกขายทอดตลาดจึงเป็นกรณีที่ผู้รับจำนองขอเอาบุริมสิทธิในทรัพย์ที่รับจำนองไว้ไม่เกินกว่าหนี้ที่รับจำนองเท่านั้น หากขายทอดตลาดได้เงินเกินกว่าหนี้จำนอง เงินส่วนที่เกินย่อมตกเข้าแก่กองทรัพย์สินของจำเลยผู้ล้มละลาย แต่ถ้าขายไม่ได้ถึงราคาทรัพย์จำนองหนี้ส่วนที่เหลือก็ตกเป็นพับแก่ผู้รับจำนองไป ฉะนั้นต้องคิดดอกเบี้ยให้ผู้ร้องจนถึงวันขายทอดตลาด เมื่อเป็นการยื่นคำร้องเพื่อขอใช้สิทธิเหนือทรัพย์อันเป็นหลักประกัน มิใช่การยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 91 ประกอบมาตรา 96 จึงไม่ต้องห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 100 ทั้งการที่ผู้ร้องระบุยอดหนี้ที่ค้างชำระถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดก็ไม่มีผลผูกพันว่าประสงค์จะขอรับชำระหนี้เพียงเท่านั้น เป็นแต่การระบุยอดหนี้ที่ค้างเพื่อให้ผู้คัดค้านสามารถพิจารณาว่าการบังคับคดีกับทรัพย์หลักประกันเป็นประโยชน์แก่กองทรัพย์สินหรือไม่ ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้องโดยให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้เท่าที่ระบุในคำร้อง มิได้ให้ได้รับชำระหนี้ดอกเบี้ยจนถึงวันที่ขายทอดตลาดหลักประกันนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกันของจำเลยตามคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยดอกเบี้ยคิดถึงวันขายทอดตลาดทรัพย์หลักประกัน แต่ยอดหนี้คิดถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดไม่เกินจำนวน 2,761,193.62 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าหากผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากนางสิริรัตน์ ลูกหนี้ร่วมแล้วเพียงใดก็ให้สิทธิได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share