แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 94068 ของโจทก์และโฉนดเลขที่ 94012 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลย เป็นที่ดินแปลงเดียวกันซึ่งโจทก์ซื้อ มาจากน. โดยมีสิ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินมาก่อนแล้ว ต่อมาโจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 94012 ไปจดทะเบียนจำนองและมีการ บังคับจำนอง ซึ่งต.เป็นผู้ประมูลได้จากนั้นต.ขายที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลย ปรากฏว่าสิ่งปลูกสร้าง บางส่วนคือส่วนหนึ่งของบ้านเลขที่ 17 และรั้วบ้านรุกล้ำที่ดิน โฉนดเลขที่ 94068 ของโจทก์ กรณีจึงไม่เข้า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 เพราะการรุกล้ำมิได้ เกิดจากจำเลยสร้างขึ้น เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้จึงต้องนำมาตรา 1312 ซึ่งเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับ ตามมาตรา 4 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รื้อส่วนของบ้านเลขที่ 17ที่รุกล้ำ แต่มีสิทธิเรียกเงินเป็นค่าใช้ส่วนแดนกรรมสิทธิ์และดำเนินการจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอม เมื่อรั้วบ้าน ที่รุกล้ำนั้นมิใช่การรุกล้ำของโรงเรือนหรือส่วนหนึ่งส่วนใด ของโรงเรือนอันจะปรับใช้มาตรา 1312 ได้ จำเลยจึงต้อง รื้อรั้วบ้านที่รุกล้ำ โจทก์มีคำขอให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกไป รั้วบ้าน ก็อยู่ในความหมายของสิ่งปลูกสร้างในที่ดินเช่นเดียวกับโรงเรือน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อรั้วบ้านที่รุกล้ำ จึงหาได้ เป็นการพิพากษาเกินคำฟ้องไม่ แม้ก่อนฟ้องคดีนี้จำเลยยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด แต่เมื่อโจทก์ ฟ้องเรียกค่าใช้ที่ดินจากจำเลยแล้ว จำเลยปฏิเสธไม่ยอมชำระ ค่าใช้ที่ดินแก่โจทก์ ย่อมถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด นับแต่วันฟ้องแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 94068 ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 94012 ของจำเลยจำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของโจทก์เต็มเนื้อที่โจทก์ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำแล้วแต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่รุกล้ำออกจากที่ดินโจทก์และส่งมอบการครอบครองที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง มิฉะนั้นให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอนเอง โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหรือให้จำเลยชดใช้ราคาที่ดินเป็นเงิน 420,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 15,000 บาท และอัตราเดือนละ 5,000 บาท จนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและส่งมอบการครอบครองที่ดินแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 94012พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 17 ที่รุกล้ำเป็นของโจทก์ โดยโจทก์เป็นผู้ปลูกสร้างขึ้น ต่อมาโจทก์นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจดทะเบียนจำนอง และถูกบังคับจำนองนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดโดยไม่ระบุว่าสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 17 นั้นรุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่ 94068 ซึ่งนางต่วน วิภาบุษบากร เป็นผู้ประมูลได้ต่อมานางต่วนขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยและจำเลยเข้าครอบครองตลอดมาในสภาพเดิมโดยสุจริตและเปิดเผยที่ดินโฉนดเลขที่ 94068จึงตกเป็นภารจำยอมแก่สิ่งปลูกสร้างเลขที่ 17 จำเลยไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง และขอให้บังคับโจทก์จดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 94068 ตกเป็นภารจำยอมแก่สิ่งปลูกสร้างเลขที่ 17 มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยครอบครองที่ดินส่วนที่รุกล้ำโดยไม่สุจริตและมิได้เป็นผู้ปลูกสร้างโรงเรือนที่รุกล้ำที่ดินโจทก์โดยสุจริต จึงไม่มีสิทธิขอให้จดทะเบียนภารจำยอม ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่รุกล้ำออกจากที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยชำระเงินค่าใช้ที่ดิน100,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 มีนาคม 2538) จนกว่าจะชำระเสร็จกับให้โจทก์จดทะเบียนที่ดินโฉนดเลขที่ 94068 ตำบลบางจากอำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร เป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 94012 เฉพาะในส่วนของบ้านเลขที่ 17 ที่รุกล้ำหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ โดยคู่ความมิได้โต้เถียงกันว่าเดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 94068 ของโจทก์ และโฉนดเลขที่ 94012 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลย เป็นที่ดินแปลงเดียวกันคือโฉนดเลขที่ 56162 ซึ่งโจทก์ซื้อมาจาก นางโนรี เตชะไพบูลย์ ทั้งนี้โดยมีสิ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินมาก่อนแล้ว ต่อมาโจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 94012 ไปจดทะเบียนจำนอง และมีการบังคับจำนอง ซึ่งนางต่วน วิภาบุษบากร เป็นผู้ประมูลได้ จากนั้นนางต่วนได้ขายที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยปรากฏว่าสิ่งปลูกสร้างบางส่วนคือส่วนหนึ่งของบ้านเลขที่ 17 และรั้วบ้านรุกล้ำที่ดินโฉนดเลขที่ 94068 ของโจทก์ตามข้อเท็จจริงแห่งคดีกรณีไม่เข้าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 เพราะการรุกล้ำมิได้เกิดจากจำเลยสร้างขึ้นเมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้จึงต้องนำ มาตรา 1312ซึ่งเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับตามมาตรา 4 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รื้อส่วนของบ้านเลขที่ 17 ที่รุกล้ำแต่มีสิทธิเรียกเงินเป็นค่าใช้ส่วนแดนกรรมสิทธิ์ และดำเนินการจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอม ซึ่งประเด็นข้อนี้คู่ความยอมรับโดยมิได้โต้แย้งจำเลยคงฎีกาโต้แย้งเฉพาะรั้วบ้านที่รุกล้ำว่าเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรือนที่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1312 ซึ่งประเด็นดังกล่าวเห็นว่า รั้วบ้านที่รุกล้ำนั้นมิใช่การรุกล้ำของโรงเรือนหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือนอันจะปรับใช้มาตรา 1312 ได้ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยให้จำเลยรื้อรั้วบ้านที่รุกล้ำ จึงชอบแล้วฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อรั้วบ้านเป็นการพิพากษาเกินคำฟ้อง เพราะโจทก์ขอท้ายฟ้องให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกไปเท่านั้น เห็นว่ารั้วบ้านก็อยู่ในความหมายของสิ่งปลูกสร้างในที่ดินเช่นเดียวกับโรงเรือนดังนั้นที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อรั้วบ้านที่รุกล้ำ จึงหาได้เป็นการพิพากษาเกินคำฟ้องไม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกันส่วนที่จำเลยฎีกาโต้แย้งว่า ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าใช้ที่ดินจำนวน 100,000 บาท สูงกว่าความเป็นจริงนั้น เห็นว่าที่ดินของโจทก์อยู่ติดถนน ซึ่งโจทก์ไม่อาจใช้ประโยชน์จากส่วนที่โรงเรือนรุกล้ำได้ทั้งบ้านเลขที่ 17 ก็มีสภาพมั่นคงแข็งแรงทำให้จำเลยสามารถใช้ประโยชน์ได้เป็นเวลานานยากที่จะสลายไปตามสภาพ ค่าใช้ที่ดินที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดมาจึงเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาเป็นประเด็นสุดท้ายว่า จำเลยยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัดจึงไม่ต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์นั้น เห็นว่า จริงอยู่คดีนี้ก่อนฟ้องจำเลยยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัดแต่เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าใช้ที่ดินจากจำเลยแล้ว จำเลยปฏิเสธไม่ยอมชำระค่าใช้ที่ดินแก่โจทก์ย่อมถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน