คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1510/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนบุคคลนั้นต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 821 และบุคคลที่เป็นตัวแทนเชิดได้หาจำต้องเฉพาะแต่บุคคลธรรมดาเท่านั้นไม่ เพราะแม้แต่การตั้งตัวแทนทั่วไป นิติบุคคลโดยผู้มีอำนาจกระทำการแทนย่อมเป็นตัวแทนได้ เพราะนิติบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาเว้นแต่สิทธิและหน้าที่ซึ่งโดยสภาพจะพึงมีพึงเป็นได้เฉพาะแก่บุคคลธรรมดาเท่านั้น และความประสงค์ของนิติบุคคลย่อมแสดงออกโดยผู้แทนของนิติบุคคล เมื่อ ช. เป็นผู้แทนของนิติบุคคลทั้งหลายที่ใช้ติดต่อค้าขายกับจำเลยแสดงว่านิติบุคคลเหล่านั้นเป็นเพียงตัวแทนเชิดของ ช.ซึ่งช. เป็นตัวการและเป็นเจ้าของลูกเดือยพิพาทเมื่อช.ยกกรรมสิทธิ์ในลูกเดือยพิพาทให้แก่จำเลย เพื่อนำออกจำหน่ายชำระค่าเสียหายในกรณีที่ ช.ในนามของบริษัท ม. ผิดสัญญาบอกเลิกการซื้อข้าวสารกับจำเลยจำเลยจึงมีสิทธิในลูกเดือยพิพาท โจทก์ซึ่งเป็นเพียงตัวแทนเชิดของช.จึงไม่สามารถอ้างสิทธิตามสัญญาซื้อขายลูกเดือย ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหายแก่ทรัพย์สินของโจทก์ กล่าวคือจำเลยรู้อยู่แล้วว่าลูกเดือยจำนวน 1,000 ตัน เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แต่ผู้เดียว และโจทก์ได้ฝากจำเลยดูแลรักษาไว้ แต่จำเลยก็ได้นำเอาลูกเดือยจำนวน 1,000 ตัน นั้นออกขายไปโดยไม่มีอำนาจ โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 3,750,000บาท พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 280,479.46 บาท รวมเป็นเงิน 4,030,479.46บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 3,750,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยชำระให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ลูกเดือยที่จำเลยนำออกขายมิใช่ของโจทก์แต่เป็นของบริษัทมหาจักรค้าข้าว จำกัด โดยมีนายชาญชัยซึ่งเป็นผู้จัดการของโจทก์ และบริษัทมหาจักรค้าข้าว จำกัด ได้มอบอำนาจให้จำเลยออกขายเพื่อนำเงินมาชดใช้ค่าเสียหายที่บริษัทมหาจักรค้าข้าว จำกัด ผิดสัญญาซื้อข้าวกับจำเลย ดังนั้น โจทก์จึงไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด เพราะจำเลยไม่มีมูลหนี้ต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามที่คู่ความนำสืบตรงกันและมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อปี พ.ศ. 2526นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ได้ติดต่อค้าขายกับจำเลยโดยใช้นิติบุคคลจำนวน 5 นิติบุคคล เข้าทำการค้ากับจำเลยคือ(1) บริษัทสหชัยวิสาหกิจ จำกัด (2) ห้างหุ้นส่วนจำกัดตั้งวัฒนชัย โจทก์ (3) บริษัทมหาจักรค้าข้าว จำกัด(4) บริษัทรวมชัยเจริญกิจ จำกัด โดยทั้งสี่บริษัทมีนายชาญชัยเป็นกรรมการผู้จัดการ (5) กลุ่มเกษตรกรทำนาบ้านนา โดยนายชาญชัยเป็นผู้รับมอบอำนาจจากกลุ่ม นายชาญชัยได้ทำการซื้อขายกับจำเลยในลักษณะที่เรียกว่าซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งได้มีการซื้อขายกันหลายรายการและทำสัญญากันหลายครั้ง โดยนายชาญชัยสลับสับเปลี่ยนกันใช้นิติบุคคลดังกล่าวเข้ามาเป็นคู่สัญญา สินค้าที่ซื้อขายกันจะเก็บไว้ที่คลังสินค้าของจำเลย แม้จะมีการซื้อขายกันไปมาก็ยังไม่มีการมอบสินค้าที่ซื้อขายเป็นแต่ทำสัญญากันเท่านั้น ทั้งนี้มีลักษณะเป็นการกู้ยืมเงินกับจำเลยโดยมีสินค้าเป็นหลักประกันลูกเดือยรายพิพาทเดิมบริษัทสหชัยวิสาหกิจ จำกัด โดยนายชาญชัยนำมาขายให้จำเลยแล้วทำสัญญาซื้อคืน แต่ยังคงฝากเก็บลูกเดือยไว้ในคลังสินค้าของจำเลย เมื่อครบกำหนดสัญญาซื้อคืน นายชาญชัยในนามของกลุ่มเกษตรกรทำนาบ้านนาโดยนายชาญชัยผู้รับมอบอำนาจได้ทำสัญญาขายลูกเดือยรายพิพาทซึ่งรับโอนมาจากบริษัทสหชัยวิสาหกิจจำกัด ให้แก่จำเลยอีกครั้งหนึ่งและขณะเดียวกัน นายชาญชัยก็ทำสัญญากับจำเลยในนามห้างโจทก์ซื้อลูกเดือยกลับคืนในลักษณะเป็นการซื้อขายล่วงหน้า ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.2-จ.4 แต่ลูกเดือยยังเก็บรักษาไว้ที่คลังสินค้าของจำเลย ต่อมาวันที่ 11 มีนาคม 2528จำเลยได้ขายลูกเดือยพิพาทให้แก่ผู้อื่นไป คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยขายลูกเดือยพิพาทไปเพราะได้รับโอนลูกเดือยพิพาทจากบริษัทมหาจักรค้าข้าว จำกัด โดยชอบหรือไม่ ซึ่งโจทก์ฎีกาว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นายชาญชัยเป็นตัวการเชิดนิติบุคคลทั้งสี่กับอีก 1 กลุ่มเป็นตัวแทนนั้นไม่ถูกต้อง เพราะการเชิดนิติบุคคลเป็นตัวแทนไม่สามารถทำได้ นิติบุคคลจะกระทำการใด ๆ ได้โดยทางผู้แทนของนิติบุคคลเท่านั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายชาญชัยติดต่อและเข้าทำสัญญาค้าขายกับจำเลยในนามนิติบุคคล4 ชื่อและกลุ่มเกษตรกรอีก 1 กลุ่ม โดยทำสัญญาสลับเปลี่ยนกันไปตามคำเบิกความของนายทนง เทอมแพงพันธุ์ รองผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า พยานจำเลยเบิกความประกอบเอกสารหมาย ล.5 ซึ่งเป็นหนังสือของนายชาญชัย ในนามบริษัทมหาจักรค้าข้าว จำกัด ว่าขอยกเลิกการซื้อข้าวจากจำเลยและยอมให้จำเลยคิดค่าเสียหายตามเหตุผลและความเป็นจริงตลอดจนยกกรรมสิทธิ์ลูกเดือยพิพาท ซึ่งเป็นหลักประกันในการชำระเงินและรับมอบข้าวตามสัญญาออกจำหน่าย เพื่อนำเงินมาชำระค่าเสียหายที่เกิดจากการที่บริษัทบอกเลิกการซื้อข้าวดังกล่าวซึ่งนายชาญชัยก็เบิกความรับว่า ได้ติดต่อกับจำเลยในนามของโจทก์และเอกสารหมาย ล.5 ติดต่อกับจำเลยในนามบริษัทมหาจักรค้าข้าวจำกัด แสดงว่าในการติดต่อค้าข้าวกับจำเลยนั้น โดยแท้จริงนายชาญชัยเป็นตัวการดำเนินงานทั้งหมดเพียงแต่กระทำในนามนิติบุคคล 4 ชื่อกับอีก 1 กลุ่ม สลับกันไป ดังนั้นจึงน่าเขื่อว่านายชาญชัยเป็นตัวการในการประกอบกิจการทั้งหมด และเชิดนิติบุคคลเหล่านั้นเป็นตัวแทนในการทำสัญญาแต่ละราย ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า การที่บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตน บุคคลนั้นต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 และบุคคลที่เป็นตัวแทนเชิดนั้น หาจำต้องเฉพาะแต่บุคคลธรรมดาเท่านั้นไม่เพราะแม้แต่การตั้งตัวแทนทั่วไป นิติบุคคลโดยผู้มีอำนาจกระทำการแทนย่อมเป็นตัวแทนได้ เพราะนิติบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาเว้นแต่สิทธิและหน้าที่ซึ่งโดยสภาพจะพึงมีพึงเป็นได้เฉพาะแก่บุคคลธรรมดาเท่านั้น และความประสงค์ของนิติบุคคลย่อมแสดงออกโดยผู้แทนของนิติบุคคล เฉพาะอย่างยิ่ง ข้อเท็จจริงได้ความว่านายชาญชัยเป็นผู้แทนของนิติบุคคลทั้งหลายที่ใช้ติดต่อค้าขายกับจำเลย แสดงให้เห็นว่า โดยแท้จริงนั้นนิติบุคคลเหล่านั้นเป็นเพียงตัวแทนเชิดของนายชาญชัย ที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่านายชาญชัยเป็นตัวการและเป็นเจ้าของลูกเดือยพิพาทนั้นชอบแล้ว เมื่อนายชาญชัยยกกรรมสิทธิ์ในลูกเดือยดังกล่าวให้จำเลย เพื่อนำออกจำหน่ายชำระค่าเสียหายในกรณีที่นายชาญชัยในนามของบริษัทมหาจักรค้าข้าวจำกัด ผิดสัญญาบอกเลิกการซื้อข้าวสารกับจำเลยปรากฏตามเอกสารหมาย ล.5จำเลยจึงมีสิทธิในลูกเดือยพิพาท โจทก์เป็นเพียงตัวแทนเชิดของนายชาญชัย จึงไม่สามารถอ้างสิทธิตามสัญญาซื้อขายตามเอกสารหมายจ.2-จ.4 ได้ การที่จำเลยขายลูกเดือยพิพาทไปจึงชอบแล้ว และคดีไม่มีความจำเป็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้ออื่นของโจทก์ต่อไปแต่อย่างใดศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share