แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ที่บังคับเอากับ ป. เนื่องจากเป็นฟ้องแย้งที่บังคับเอากับบุคคลภายนอกไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม กับมีคำสั่งยกคำร้องที่จำเลยที่ 1 ขอหมายเรียก ป. เข้าเป็นจำเลยฟ้องแย้งร่วมกับโจทก์ จำเลยที่ 1 คงอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอหมายเรียก ป. โดยมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องแย้งในส่วนที่บังคับเอากับ ป. แต่อย่างใด คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงถึงที่สุดไปแล้ว จำเลยที่ 1 จะยกขึ้นฎีกาหาได้ไม่ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้เรียก ป. เข้าเป็นจำเลยร่วมกับโจทก์ในส่วนฟ้องแย้งนั้นเป็นคำร้องที่ยื่นเพื่อขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี มิใช่เพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความจึงไม่ใช่คำคู่ความ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องดังกล่าวจึงมิใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความแต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (1) จำเลยที่ 1 จึงยังไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2545 ขอให้ศาลชั้นต้นหมายเรียกนายปรีดาเป็นจำเลยร่วมกับโจทก์ในการฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การและฟ้องแย้งโดยยกฟ้องแย้งที่บังคับเอากับนายปรีดา และมีคำสั่งคำร้องฉบับดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ว่า เนื่องจากศาลสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในส่วนของนายปรีดา จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในประการแรกว่าฟ้องแย้งในส่วนของนายปรีดา เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอจะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเข้าด้วยกันได้ขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับเป็นให้รับฟ้องแย้งในส่วนดังกล่าวนั้น ปรากฏว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับฟ้องแย้งที่บังคับเอากับนายปรีดา คุ้มแก้ว นั้นให้ยก เนื่องจากเป็นฟ้องแย้งที่บังคับบุคคลภายนอกไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม…” กับมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้หมายเรียกนายปรีดา เข้าเป็นจำเลยฟ้องแย้งร่วมกับโจทก์ว่า “เนื่องจากศาลสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ในส่วนของนายปรีดา จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ” จำเลยที่ 1 คงอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอหมายเรียกนายปรีดาเข้าเป็นจำเลยฟ้องแย้งร่วมกับโจทก์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นให้หมายเรียกนายปรีดาเข้าเป็นจำเลยฟ้องแย้งร่วมกับโจทก์ โดยมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องแย้งที่บังคับเอากับนายปรีดาแต่อย่างใด คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงถึงที่สุดไปแล้ว จำเลยที่ 1 จะยกขึ้นฎีกาหาได้ไม่ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นรับฎีกาข้อนี้มาจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 เพียงว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ชอบหรือไม่ เห็นว่าคำร้องจำเลยที่ 1 ที่ขอให้เรียกนายปรีดาเข้าเป็นจำเลยร่วมกับโจทก์ในส่วนฟ้องแย้งนั้นเป็นเพียงคำร้องที่ยื่นเพื่อขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีมิใช่เพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความแต่อย่างใด จึงไม่ใช่คำคู่ความ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องนี้จึงมิใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความ แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (1) จำเลยที่ 1 จึงยังไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว คำร้องดังกล่าวของจำเลยที่ 1 หาใช่คำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (2) ดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ได้สั่งเรื่องค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไข
พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.