แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยได้กระทำไปในฐานะตัวแทน ว.จำเลยกับโจทก์ทั้งสองไม่มีความเกี่ยวพันกันในส่วนนี้ แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยกลับฎีกาแต่เพียงว่าข้อความในสัญญาข้อ 2 ระบุไว้ว่า ผู้ให้สัญญายอมยกเงินที่ขายเกินให้แก่นายหน้าแสดงว่าราคาที่ดินส่วนที่ขายเกินจากไร่ละ300,000 บาท ต้องเป็นของจำเลยมิใช่เป็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใด เพราะเป็นคำมั่นสัญญาเฉพาะระหว่างผู้ทำสัญญากับผู้ให้สัญญาเท่านั้น โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว ดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง นอกจากนี้ฎีกาของจำเลยดังกล่าวอ้างเหตุแตกต่างจากอุทธรณ์ของจำเลย จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนกันยายน 2532 โจทก์ทั้งสองนายบรรจง วัยทรง และจำเลย ได้ตกลงร่วมกันเป็นนายหน้าขายที่ดินโฉนดเลขที่ 8013 ให้แก่นายวิกรม เจริญพร โดยตกลงกันว่าเงินค่านายหน้าจำนวน 5 เปอร์เซ็นต์ ของราคาที่ดินรวมทั้งราคาที่ดินในส่วนที่เกินไร่ละ 300,000 บาท ให้นำมาแบ่งเป็นสี่ส่วนคนละเท่ากัน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2533 (ที่ถูก 2532)โจทก์ทั้งสองนายบรรจง และจำเลยได้ตกลงให้นายบรรจงและจำเลยเป็นตัวแทนเข้าทำสัญญานายหน้ากับนายวิกรมเจ้าของที่ดินต่อมาโจทก์ทั้งสองและนายบรรจงได้ร่วมกันชี้ช่องให้นายวิกรมเข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายกับผู้จะซื้อได้สำเร็จในราคาไร่ละ350,000 บาท เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2533 และได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและชำระราคาที่ดินกันเรียบร้อย นายวิกรมได้ชำระเงินค่านายหน้าและราคาที่ดินส่วนที่เกินงวดสุดท้ายจำนวน1,225,000 บาทแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมนำส่วนแบ่งมามอบให้แก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองทวงถามจำเลยแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยจำเลยจึงผิดสัญญา ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 623,984 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 612,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การว่า จำเลยแต่เพียงผู้เดียวเป็นนายหน้าขายที่ดินให้แก่นายวิกรม เจริญพร จำเลยไม่ได้เป็นตัวแทนของโจทก์ทั้งสองเข้าทำสัญญานายหน้ากับนายวิกรม จากพฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสองเป็นเพียงนายหน้าของฝ่ายผู้จะซื้อ ไม่มีสิทธิที่จะได้ค่านายหน้าจากฝ่ายผู้จะขาย แต่เมื่อมีการซื้อขายที่ดินแปลงนี้กันแล้วโจทก์ทั้งสองได้มาขอค่านายหน้าจากจำเลย จำเลยเห็นใจโจทก์ทั้งสองจึงได้แบ่งเป็นค่านายหน้าให้แก่โจทก์ทั้งสองจำนวน 250,000 บาทโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกร้องค่านายหน้าและราคาที่ดินส่วนที่เกินจากจำเลยอีกขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองคนละ218,334 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาในข้อ 2(ก)(ข)(ง) และข้อ 3 โดยอ้างคำเบิกความของนายวิไล ท้วมชุมพร และสำเนาหนังสือสัญญานายหน้าเอกสารหมาย ล.2 ว่า โจทก์ทั้งสองไม่ใช่นายหน้า เพราะไม่ได้ลงชื่อในช่องการเป็นนายหน้าในสัญญาแต่ลงชื่อเป็นเพียงพยาน จะมากล่าวอ้างว่าเป็นนายหน้าร่วมกับจำเลยไม่ได้และในการซื้อขายที่ดินระหว่างนายวิกรมเจ้าของที่ดินกับนายสมัยผู้ซื้อก็ไม่ได้ผ่านโจทก์ทั้งสองกับพวก อีกทั้งโจทก์ที่ 2 เป็นเพียงผู้เดินตามมากับโจทก์ที่ 1 เนื่องจากเป็นเพื่อนกันไม่มีส่วนร่วมในการเป็นนายหน้าย่อมไม่มีสิทธิมาเรียกร้องค่านายหน้าจากจำเลยนั้น ปรากฏว่าจำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนฎีกาในข้อ 2(จ) เกี่ยวกับราคาที่ดินส่วนที่ขายเกินจากไร่ละ 300,000 บาท ซึ่งปัญหาดังกล่าวจำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยได้กระทำไปในฐานะตัวแทนนายวิกรม จำเลยกับโจทก์ทั้งสองไม่มีความเกี่ยวพันกันในส่วนนี้ แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยกลับฎีกาแต่เพียงว่า ข้อความในสัญญาข้อ 2 ระบุไว้ว่าผู้ให้สัญญายอมยกเงินที่ขายเกินให้แก่นายหน้าแสดงว่าราคาที่ดินส่วนที่ขายเกินจากไร่ละ 300,000 บาท ต้องเป็นของจำเลยมิใช่เป็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใด เพราะเป็นคำมั่นสัญญาเฉพาะระหว่างผู้ทำสัญญากับผู้ให้สัญญาเท่านั้น โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว เห็นว่า ฎีกาของจำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดข้อไหนอย่างไร ที่ถูกต้องเป็นอย่างไรเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง นอกจากนี้ฎีกาของจำเลยดังกล่าวอ้างเหตุแตกต่างจากอุทธรณ์ของจำเลย จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นเดียวกัน
พิพากษายกฎีกาของจำเลย