แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัมปทานเก็บรังนกในเขตพื้นที่จังหวัดชุมพรตามประกาศคณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดชุมพรได้แบ่งพื้นที่การประมูลเงินอากรรังนกอีแอ่นออกเป็น 5 พื้นที่ การยื่นซองประมูลเงินอากรเก็บรังนกอีแอ่นได้กำหนดให้ผู้เสนอประมูลจะต้องเสนอประมูลเงินอากรเก็บรังนกอีแอ่นในแต่ละพื้นที่ในเขต 5 พื้นที่ดังกล่าวไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ยังมีการทำสัญญาสัมปทานเก็บรังนกอีแอ่นแยกต่างหากจากกันในแต่ละพื้นที่ดังกล่าวด้วย ดังนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า ประกาศคณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดชุมพร มีการลงทุนในกิจการของรัฐแยกออกเป็น 5 โครงการ ทั้งห้าโครงการมีการประมูลได้รวมเกินหนึ่งพันล้านบาทตามที่จำเลยทั้งสามอ้าง แต่เมื่อสัญญาแต่ละฉบับประมูลได้ไม่เกินฉบับละหนึ่งพันล้านบาท โจทก์ในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ประสงค์จะให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในโครงการสัมปทานเก็บรังนกในเขตพื้นที่โจทก์ จึงไม่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ชำระอากรค้างตามสัญญาสัมปทานเก็บรังนกอีแอ่นในเขตเทศบาลตำบลปากตะโก ประจำปี 2547 และ 2548 จำนวน 85,781,833.34 บาท ดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 8 ต่อปีของต้นเงินอากรค้างชำระ นับแต่วันผิดนัดในแต่ละงวดจนถึงวันฟ้องจำนวน 22,373,967.14 บาท และนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินอากรรังนกอีแอ่นตามสัญญาแก่โจทก์เสร็จสิ้นเงินเพิ่มจากการผิดนัดชำระเงินอากรรังนกอีแอ่นในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน นับแต่วันผิดนัดในแต่ละงวดจนถึงวันฟ้อง 51,620,767.50 บาท และนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระเงินอากรรังนกอีแอ่นตามสัญญาแก่โจทก์เสร็จสิ้น ค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระเงินอากรจำนวน 329,500 บาท ค่าเสียหายจากส่วนต่างการทำสัญญาสัมปทานใหม่ภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจำนวน 180,646,666.67 บาท ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมชำระเงินอากรค้างชำระ เงินค่าดอกเบี้ยจากการผิดนัด เงินเพิ่มจากการผิดนัดชำระเงินอากร เงินค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 ผิดนัด และเงินค่าเสียหายจากส่วนต่างการทำสัญญาสัมปทานใหม่ตามวงเงินค้ำประกันการทำสัญญาสัมปทานเก็บรังนกอีแอ่นในเขตเทศบาลตำบลปากตะโก เลขที่ ซี 02152/21003500/841 จำนวน 97,850,000 บาท ค่าเสียหายในระหว่างจำเลยที่ 2 ผิดนัดชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันคิดเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินตามหนังสือค้ำประกันดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 2 จะชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันแก่โจทก์เสร็จสิ้น ให้จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมชำระเงินอากรค้างชำระ เงินค่าดอกเบี้ยจากการผิดนัด เงินเพิ่มจากการผิดนัดชำระเงินอากร เงินค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 ผิดนัด และเงินค่าเสียหายจากส่วนต่างการทำสัญญาสัมปทานใหม่ตามวงเงินค้ำประกันการทำสัญญาสัมปทานเก็บรังนกอีแอ่นในเขตเทศบาลตำบลปากตะโก เลขที่ 940805002633 จำนวน 20,548,500 บาท ค่าเสียหายในระหว่างจำเลยที่ 3 ผิดนัดชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันคิดเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินตามหนังสือค้ำประกันดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 3 จะชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันแก่โจทก์เสร็จสิ้น และให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินอากรค้างตามสัญญาสัมปทานเก็บรังนกอีแอ่นในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลปากน้ำชุมพร ประจำปี 2547 และ 2548 จำนวน 37,977,200 บาท ดอกเบี้ยจากการผิดนัดชำระเงินอากรตามสัญญาสัมปทานในอัตราร้อยละ 8 ต่อปี ของต้นเงินอากรค้างชำระ นับแต่วันผิดนัดในแต่ละงวดจนถึงวันฟ้องจำนวน 9,903,542.02 บาท และนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระเงินอากรรังนกอีแอ่นตามสัญญาแก่โจทก์เสร็จสิ้น เงินเพิ่มจากการผิดนัดชำระเงินอากรรังนกอีแอ่นตามสัญญาสัมปทานในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน นับแต่วันผิดนัดในแต่ละงวดจนถึงวันฟ้องจำนวน 22,853,466 บาท และนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระเงินอากรรังนกอีแอ่นตามสัญญาแก่โจทก์เสร็จสิ้น ค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระเงินอากรตามสัญญาสัมปทานจำนวน 148,000 บาท ค่าเสียหายจากส่วนต่างการทำสัญญาสัมปทานใหม่ภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาสัญญาสัมปทานจำนวน 96,800,000 บาท ให้จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมชำระเงินอากรค้างชำระ ดอกเบี้ยจากการผิดนัดเงินเพิ่มจากการผิดนัดชำระเงินอากร ค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างจำเลยที่ 1 ผิดนัด และเงินค่าเสียหายจากส่วนต่างการทำสัญญาสัมปทานใหม่ ตามวงเงินค้ำประกันการทำสัญญาสัมปทานเลขที่ แอล 46-0554 และเลขที่ 940805002645 จำนวน 52,417,200 บาท ค่าเสียหายในระหว่างจำเลยที่ 3 ผิดนัดชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันทั้งสองฉบับ โดยคิดเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินตามหนังสือค้ำประกันทั้งสองฉบับดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 3 จะชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันแก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยที่ 1 ให้การ แก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง และการกระทำของโจทก์ดังกล่าวทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายขอให้โจทก์คืนหนังสือค้ำประกันสัญญา คืนเงินค่าอากรทั้งหมดที่โจทก์ได้รับจากจำเลยที่ 1 จำนวน 148,674,300 บาท ชดใช้ค่าใช้จ่ายที่จำเลยที่ 1 จะต้องสูญเสียจากการดำเนินงานตามสัญญาสัมปทานจำนวน 46,784,873.82 บาท และชดใช้ค่าขาดประโยชน์และค่าสูญเสียกำไรทางธุรกิจที่จำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับหากมีการดำเนินงานตามสัญญาสัมปทานต่อไปจำนวน 100,000,000 บาท รวมทั้งสิ้น 295,459,173.82 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้อากรค้างชำระสำหรับสัญญาสัมปทานที่ 1 จำนวน 85,781,833.34 บาท และต้องรับผิดชำระค่าอากรค้างสัญญาสัมปทานที่ 2 จำนวน 37,977,200 บาท ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินเพิ่มตามสัญญาสัมปทานที่ 1 จำนวน 51,620,767.50 บาท ตามสัญญาสัมปทานที่ 2 จำนวน 22,853,466 บาท และชำระเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน ของเงินอากรที่ต้องชำระในแต่ละงวดนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินค่าอากรรังนกดังกล่าวเสร็จสิ้นแก่โจทก์ด้วย ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าใช้จ่ายอันเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงแก่เจ้าพนักงานตำรวจและสมาชิกอาสาสมัครซึ่งทำหน้าที่เฝ้าระวังดูแลรักษาเกาะรังนกระหว่างผิดสัญญา ตามสัญญาสัมปทานที่ 1 จำนวน 329,500 บาท และตามสัญญาสัมปทานที่ 2 จำนวน 148,000 บาท ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าใช้จ่ายจากส่วนต่างจากการทำสัญญาสัมปทานใหม่แทนสัญญาสัมปทานที่ 1 จำนวน 180,646,666.67 บาท และแทนสัญญาสัมปทานที่ 2 จำนวน 96,800,000 บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้สัญญาสัมปทานที่ 1 ตามหนังสือค้ำประกันสัญญาเลขที่ ซี 02152/21003500841 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2546 จำนวน 97,850,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้สัญญาสัมปทานที่ 1 ตามหนังสือค้ำประกันเลขที่ 940805002633 ลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2548 จำนวน 20,548,000 (ที่ถูก 20,548,500) บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ นอกจากนี้จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญาสัมปทานที่ 2 ตามหนังสือค้ำประกันเลขที่ แอล 46-0554 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2546 จำนวน 43,320,000 บาท และหนังสือค้ำประกันเลขที่ 940805002645 ลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2548 จำนวน 9,097,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินตามหนังสือค้ำประกันแต่ละฉบับดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท คำขออื่นให้ยกและให้ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า สัมปทานเก็บรังนกในเขตพื้นที่จังหวัดชุมพรตามประกาศคณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดชุมพรดังกล่าวได้แบ่งพื้นที่การประมูลเงินอากรรังนกอีแอ่นออกเป็น 5 พื้นที่ การยื่นซองประมูลเงินอากรเก็บรังนกอีแอ่นได้กำหนดให้ผู้เสนอประมูลจะต้องเสนอประมูลเงินอากรเก็บรังนกอีแอ่นในแต่ละพื้นที่ในเขต 5 พื้นที่ดังกล่าวไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ยังมีการทำสัญญาสัมปทานเก็บรังนกอีแอ่นแยกต่างหากจากกันในแต่ละพื้นที่ดังกล่าวด้วย ดังนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า ประกาศคณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดชุมพร เรื่อง ประมูลเงินอากรรังนกอีแอ่น มีการลงทุนในกิจการของรัฐแยกออกเป็น 5 โครงการ ทั้งแบบสัญญาสัมปทานเก็บรังนกอีแอ่นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่ 24 มิถุนายน 2546 ข้อ 2 ระบุว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับสัมปทานตกลงเก็บรังนกอีแอ่นตามที่กล่าวในข้อ 1 และยินยอมเสียเงินอากรรังนกอีแอ่นให้แก่โจทก์ผู้ให้สัมปทานเป็นเงินอากรทั้งสิ้น 515,000,000 บาท ส่วนแบบสัญญาสัมปทานเก็บรังนกอีแอ่นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2546 ข้อ 2 ระบุว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับสัมปทานตกลงเก็บรังนกอีแอ่นตามที่กล่าวในข้อ 1. และยินยอมเสียเงินอากรรังนกอีแอ่นให้แก่โจทก์ผู้ให้สัมปทานเป็นเงินอากรทั้งสิ้น 228,000,000 บาท เพราะฉะนั้นแบบสัญญาสัมปทานเก็บรังนกอีแอ่นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทั้งสองฉบับจึงมีวงเงินหรือทรัพย์สินไม่ถึงหนึ่งพันล้านบาทโจทก์ในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ประสงค์จะให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในโครงการสัมปทานเก็บรังนกในเขตพื้นที่โจทก์ จึงไม่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 ดังที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้วที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ต่อมาว่า จำเลยที่ 1 เข้าทำสัญญาสัมปทานทั้งสองฉบับกับโจทก์โดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญว่า โจทก์ไม่ได้ดำเนินโครงการประมูลเงินอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดชุมพรตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของพระราชบัญญัติดังกล่าวหรือการที่โจทก์ไม่ได้ดำเนินโครงการประมูลเงินอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดชุมพรตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่ได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติดังกล่าวย่อมทำให้การดำเนินโครงการและการทำสัญญาสัมปทานตามโครงการดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าโจทก์จะมีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงกฎหมายหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า โครงการประมูลอากรรังนกของโจทก์ ขณะที่จัดทำขึ้นโดยประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดมีวงเงินรวมกันไม่ถึงหนึ่งพันล้านบาท หลังจากที่ประมูลได้ผู้ชนะการประมูลทุกรายต่างเข้าทำสัญญาสัมปทานเฉพาะในส่วนพื้นที่ที่ตนเองประมูลได้โดยสมัครใจ และโจทก์ได้ส่งมอบพื้นที่ตามสัมปทานให้จำเลยที่ 1 ครอบครอง ส่วนจำเลยที่ 1 ก็เข้าครอบครองและเก็บผลประโยชน์ในพื้นที่สัมปทานมาโดยตลอดโดยไม่เคยทักท้วง กรณีเป็นการทำสัญญาสัมปทานโดยแยกพื้นที่ของแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยสัญญาสัมปทานแต่ละฉบับไม่เกี่ยวข้องกันและสัญญาแต่ละฉบับคู่สัญญาก็มีเจตนาผูกนิติสัมพันธ์ก่อให้เกิดภาระหน้าที่ระหว่างกันถูกต้องตรงตามเจตนาของทั้งสองฝ่าย เมื่อไม่ปรากฏว่าการทำสัญญาสัมปทานดังกล่าวโจทก์ได้กระทำโดยมีเจตนาที่จะแบ่งแยกสัญญาเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงบทบัญญัติของกฎหมาย แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏได้ความว่าการแบ่งแยกสัมปทานออกเป็นตามพื้นที่ เป็นการเปิดโอกาสให้มีผู้เข้าร่วมประมูลจำนวนมากขึ้นและสามารถป้องกันการสมยอมราคาได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่สามารถนำพยานหลักฐานมานำสืบให้เห็นได้ว่า การกระทำของโจทก์หรือคณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่นจังหวัดชุมพรคนใดได้กระทำการโดยมีเจตนาจูงใจใดเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย หรือมีเจตนาที่จะกระทำการหรือไม่กระทำการอันไม่ถูกต้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือกระทำการเพื่อช่วยเหลือผู้หนึ่งผู้ใดเป็นพิเศษ ดังนั้นสัญญาสัมปทานที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับโจทก์รวม 2 ฉบับ จึงชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท