แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของโจทก์ทั้งสองไม่เกินคนละสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ฎีกาของ โจทก์ทั้งสองโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด โจทก์ทั้งสองเห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโมฆะ เพราะเป็นการแสดงเจตนาลวงของคู่กรณี จึงเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของโจทก์ทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 135,136) โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า การโอนที่ดิน พิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 ตกเป็นโมฆะ เพราะเป็นการแสดงเจตนาลวงของคู่กรณี และให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้รับโอนที่ดินโดยไม่สุจริตโอนที่ดินพิพาทคืนให้แก่ โจทก์ทั้งสอง หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษา แทนการแสดงเจตนา จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ทั้งสองไม่ได้เป็นการแสดงเจตนาลวง ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตเสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนตามกฎหมาย โจทก์ทั้งสองขายที่ดินแก่จำเลยที่ 1 แล้วโดยชอบ ขอให้ยกฟ้อง ชั้นชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้โจทก์ทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลตามราคาที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสามตกลงตีราคาทุนทรัพย์ตามราคาประเมินของทางราชการ เป็นเงิน 256,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 130) โจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 134)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ทั้งสองได้ร่วมกันฟ้องจำเลย ทั้งสามโดยอ้างว่า การโอนที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งสอง กับจำเลยที่ 1 ตกเป็นโมฆะเพราะเป็นการแสดงเจตนาลวงต่อกัน และการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับโอนต่อไปจากจำเลยที่ 1 ก็เป็นการโอนโดยไม่สุจริต ขอให้เพิกถอนการโอนทั้งหมด แล้วให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 โอนกลับมาเป็นของโจทก์ทั้งสอง การฟ้องของโจทก์ทั้งสองไม่ปรากฏว่าโจทก์แต่ละคนต่างเรียกร้อง เอาเฉพาะส่วนของตน แต่กลับได้ความว่าเรียกร้องให้กลับมา เป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ทั้งสองเหมือนเดิม ดังนั้น คดีสำหรับโจทก์ทั้งสองจะแยกพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์ออกเป็น ของโจทก์แต่ละคนหาได้ไม่ จะต้องรวมจำนวนทุนทรัพย์เข้าด้วยกันเมื่อปรากฏว่าราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเกินกว่าสองแสนบาท จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการไม่ชอบ ให้รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองเพื่อดำเนินการต่อไป