คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1506/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ค่าธรรมเนียมศาลที่ต้องเสียเมื่อยื่นคำฟ้องตามตาราง 1และตาราง 2 คิดตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะยื่นคำฟ้องเมื่อศาลเห็นว่าโจทก์ปิดแสตมป์ไม่ครบจำนวนก็สั่งให้โจทก์ปิดแสตมป์ให้ถูกต้องภายในเวลาที่กำหนด ถ้าไม่ทำตามก็ให้สั่งไม่รับคำคู่ความนั้น การที่ศาลสั่งให้ส่งสำเนาฟ้องและหมายเรียกจำเลยไปในคราวเดียวกับที่สั่งให้โจทก์ปิดแสตมป์ให้ครบ จึงเป็นการสั่งรับฟ้องก่อนปิดแสตมป์ครบ ไม่มีผลผูกพันคู่ความ

ย่อยาว

เดิมโจทก์ยื่นคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาให้จำเลยร่วมกันรับผิดฐานละเมิด ต่อมาศาลชั้นต้นหมายเรียกห้างหุ้นส่วนจำกัดมิตรนิยมก่อสร้างศรีสะเกษเข้ามาเป็นจำเลยร่วม วันที่ 19 กันยายน 2520 โจทก์แถลงต่อศาลว่าไม่ติดใจขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาต่อไป จะนำเงินค่าธรรมเนียมต่าง ๆมาวางศาลภายใน 15 วันนับแต่วันยื่นคำร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันให้รับคำฟ้องของโจทก์และให้โจทก์นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลให้เรียบร้อยภายใน 15 วัน วันที่ 7 ตุลาคม 2520 โจทก์ยื่นคำแถลงขอขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลไปภายในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2520 ศาลชั้นต้นอนุญาตวันที่ 10 พฤศจิกายน 2520 เจ้าหน้าที่ทำรายงานเสนอศาลว่า โจทก์ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลหรือจัดการนำส่งสำเนาคำฟ้องภายในกำหนดเวลาตามคำสั่งศาล ศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและสั่งให้จำหน่ายคดี
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2520 โจทก์ยื่นคำแถลงขอเลื่อนการวางเงินค่าธรรมเนียมศาลไปภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2520 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลได้สั่งจำหน่ายคดีไปแล้ว จึงไม่อนุญาต โจทก์ยื่นคำร้องในวันเดียวกันว่าโจทก์มิได้มีเจตนาทิ้งฟ้อง แต่เป็นเพราะโจทก์เข้าใจผิดว่าศาลยังไม่ได้สั่งรับฟ้องจึงไม่ได้นำส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้อง ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีและดำเนินคดีนี้ต่อไปใหม่ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในขณะที่ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีนั้น โจทก์ยังนำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระในวันนั้นได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ จึงเป็นคำสั่งในกรณีที่โจทก์เพิกเฉยไม่ร้องขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้ส่งหมายเรียกให้แก้คดีแก่จำเลย และไม่แจ้งให้ศาลทราบเหตุแห่งการเพิกเฉยเช่นว่านั้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันยื่นคำฟ้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(1) คดีจึงมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่าศาลจะสั่งรับคำฟ้องโดยโจทก์ยังมิได้ชำระค่าธรรมเนียมศาลได้หรือไม่ซึ่งจะต้องพิจารณาตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง คือพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2499 ซึ่งตามตาราง 1 ท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวค่าขึ้นศาลต้องเสียเมื่อยื่นคำฟ้อง และตามตาราง 2 ค่าธรรมเนียมศาลซึ่งต้องเสียเมื่อยื่นคำฟ้องมีค่ารับคำฟ้อง ค่าตัดสินและค่าคำบังคับทั้งต้องเสียค่าขอออกหมายเรียกให้จำเลยแก้คดีด้วย การชำระค่าธรรมเนียมศาลดังกล่าวนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 วรรคสองให้ชำระหรือนำมาวางศาลโดยวิธีปิดแสตมป์ตามจำนวนที่ต้องปิดลงไว้ในคำคู่ความ และตามมาตรา 18 วรรคสอง ถ้าศาลเห็นว่าคำคู่ความที่ยื่นต่อศาลมิได้ปิดแสตมป์โดยบริบูรณ์ ศาลจะมีคำสั่งให้ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้ามิได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลก็ให้ศาลมีคำสั่งไม่รับคำคู่ความนั้น กฎหมายมีอยู่ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนถึงสั่งจำหน่ายคดีโจทก์โดยที่โจทก์ยังมิได้ชำระค่าธรรมเนียมศาลนั้น กระบวนพิจารณาดังกล่าวของศาลชั้นต้นเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีผลผูกพันคู่ความ
พิพากษายืน

Share