คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1504/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายข้อใดที่ไม่เป็นสารแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย. หรือไม่เป็นข้อแพ้ชนะ. หรือไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของผู้อุทธรณ์. ศาลอุทธรณ์ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนั้น. และถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่า อุทธรณ์ทุกข้อไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยต่อไปแล้ว. ก็มีอำนาจที่จะไม่วินิจฉัยอุทธรณ์นั้นทั้งหมดได้.
จำเลยฎีกาว่า. ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งบังคับคดีในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์. ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย. และเกินคำขอของโจทก์. เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาและคำบังคับของศาลชั้นต้นเสร็จสิ้นไปแล้ว. และศาลชั้นต้นได้งดหมายจับนั้นแล้ว. ทั้งไม่มีกรณีที่จะต้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำบังคับของศาลต่อไปอีก. ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่มีประโยชน์แก่คดี. ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้ยกฎีกานั้น.โดยไม่ต้องวินิจฉัย.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขับไล่ให้จำเลยรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ที่ 1 ซึ่งมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 2ครอบครองใช้ประโยชน์และจัดการ จำเลยต่อสู้หลายประการ และฟ้องแย้งขอให้แสดงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ รวมทั้งเรียกค่าสินไหมทดแทน โจทก์ให้การปฏิเสธฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวาร พร้อมทั้งให้รื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาท และให้ยกฟ้องแย้ง โดยมีคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน จำเลยขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าจำเลยมีทรัพย์สินพอเสียค่าธรรมเนียมได้ ไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องถ้าจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์ ให้ชำระค่าธรรมเนียมภายใน 15 วัน จำเลยทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2509 และศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายในวันที่ 27เดือนนั้น เวลา 15 นาฬิกา ครั้นวันที่ 20 เดือนเดียวกัน จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยใหม่ เพื่ออนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ไม่อนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์อย่างคนอนาถา ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคท้าย จำเลยจะยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขอใหม่อีกไม่ได้ วันที่ 30 ธันวาคม 2509 เจ้าหน้าที่รายงานว่า จำเลยไม่ชำระค่าธรรมเนียมอุทธรณ์ภายในกำหนดตามคำสั่งศาล ศาลชั้นต้นจึงสั่งจำหน่ายฟ้องอุทธรณ์วันนั้นโจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยและบริวารยังไม่ออก ยังไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาท ขอให้เรียกจำเลยมาสอบถามเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามคำพิพากษา จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ของจำเลย ขณะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยมาสอบถาม จำเลยไม่มา จึงออกหมายจับ จำเลยยื่นคำร้องขอให้ถอนหมายจับ ศาลชั้นต้นยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่าขอปฏิบัติตามคำสั่งศาลทุกประการแต่ขอผ่อนเวลาอีก 6 เดือนขอให้ระงับการจับกุม ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อม ส่วนจำเลยให้รับตัวขังไว้ งดหมายจับ และอนุญาตให้จำเลยมีประกันตัวไป วันนัดพร้อม โจทก์ยอมให้เวลา 7 วัน จำเลยยอมรับ ศาลชั้นต้นจึงสั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาและคำบังคับให้เสร็จภายใน 7 วันต่อมาจำเลยก็ปฏิบัติตามคำบังคับเสร็จสิ้นแล้ว และโจทก์ไม่ติดใจบังคับคดีต่อไป ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยเกี่ยวกับหมายจับว่าอุทธรณ์ของจำเลยไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยต่อไป ให้จำหน่ายคดี จำเลยฎีกาว่า 1.ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย แต่กลับสั่งจำหน่ายคดีเป็นการผิดหลักและนอกประเด็น 2.คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งบังคับคดี การออกหมายจับไม่ชอบด้วยกฎหมายและเกินคำขอของโจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาข้อแรกว่า ศาลอุทธรณ์ไม่จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อ ถ้าอุทธรณ์ข้อใดไม่เป็นสารแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย หรือไม่เป็นข้อแพ้ชนะ หรือไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของจำเลย ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนั้น และถ้าเห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยต่อไปแล้วก็มีอำนาจที่จะไม่วินิจฉัยอุทธรณ์นั้นทั้งหมดได้ หาเป็นการผิดหลักหรือนอกประเด็นไม่ ฎีกาข้อสอง ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาและคำบังคับของศาลแล้ว จนกระทั่งโจทก์ไม่ติดใจบังคับคดีต่อไป และหมายจับก็งดแล้ว การที่จะวินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งบังคับคดีหรือไม่ และการออกหมายจับชอบด้วยกฎหมายและเกินคำขอของโจทก์หรือไม่จึงไม่มีประโยชน์แก่คดีเลย เพราะจำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาและคำบังคับของศาลชั้นต้นเสร็จสิ้นไปแล้ว และศาลชั้นต้นได้งดหมายจับจำเลยแล้ว ทั้งไม่มีกรณีที่จะต้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาและคำบังคับของศาลต่อไปอีก ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยข้อฎีกาของจำเลยเหล่านี้ พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลย.

Share